Instruction of life
6:15 AM
thach do
1. Give people more than they expect and do it cheerfully.
2. Memorize your favorite poem.
3. Don't believe all you hear, spend all you have, or sleepall you want.
4. When you say, "I love you", mean it.
5. When you say, "I'm sorry", look the person in the eye.
6. Be engaged at least six months before you get married.
7. Believe in love at first sight.
8. Never laugh at anyone's dreams.
9. Love deeply and passionately.
You might get hurt but it's the only way to live life completely.
10. In disagreements, fight fairly. No name calling.
11. Don't judge people by their relatives.
12. Talk slowly but think quickly.
13. When someone asks you a question you don't want to answer, smile and ask,
"Why do you want to know?"
14. Remember that great love and great achievements involve great risk.
15. Call your mom.
16. Say "bless you" when you hear someone sneeze.
17. When you lose, don't lose the lesson.
18. Remember the three R's: Respect for self, Respect for others,
Responsibility for all your actions.
19. Don't let a little dispute injure a great friendship.
20. When you realize you've made a mistake, take immediate steps to correct it.
21. Smile when picking up the hone. The caller will hear it in your voice.
22. Marry a man/woman you love to talk to. As you get older, their conversational skills will be as important as any other.
23. Spend some time alone.
24. Open your arms to change, but don't let go of your values.
25. Remember that silence is sometimes the best answer.
26. Read more books and watch less TV.
27. Live a good, honorable life. Then when you get older and think back,
you'll get to enjoy it a second time.
28. Trust in God but lock your car.
29. A loving atmosphere in your home is so important.
Do all you can to create a tranquil harmonious home.
30. In disagreements with loved ones, deal with the current situation.
Don't bring up the past.
31. Read between the lines.
32. Share your knowledge. It's a way to achieve immotality.
33. Be gentle with the earth.
34. Pray. There's immeasurable power in it.
35. Never interrupt when you are being flattered.
36. Mind your own business.
37. Don't trust a man/woman who doesn't close his/her eyes when you kiss.
38. Once a year, go someplace you've never been before.
39. If you make a lot of money, put it to use helping others while you are living.
That is wealth's greatest satisfaction.
40. Remember that not getting what you want is sometimes a stroke of luck.
41. Learn the rules then break some.
42. Remember that the best relationship is one where your love for each other is greater than your need for each other.
43. Judge your success by what you had to give up in order to get it.
44. Remember that your character is your destiny.
45. Approach love and cooking with reckless abandon.
2. Memorize your favorite poem.
3. Don't believe all you hear, spend all you have, or sleepall you want.
4. When you say, "I love you", mean it.
5. When you say, "I'm sorry", look the person in the eye.
6. Be engaged at least six months before you get married.
7. Believe in love at first sight.
8. Never laugh at anyone's dreams.
9. Love deeply and passionately.
You might get hurt but it's the only way to live life completely.
10. In disagreements, fight fairly. No name calling.
11. Don't judge people by their relatives.
12. Talk slowly but think quickly.
13. When someone asks you a question you don't want to answer, smile and ask,
"Why do you want to know?"
14. Remember that great love and great achievements involve great risk.
15. Call your mom.
16. Say "bless you" when you hear someone sneeze.
17. When you lose, don't lose the lesson.
18. Remember the three R's: Respect for self, Respect for others,
Responsibility for all your actions.
19. Don't let a little dispute injure a great friendship.
20. When you realize you've made a mistake, take immediate steps to correct it.
21. Smile when picking up the hone. The caller will hear it in your voice.
22. Marry a man/woman you love to talk to. As you get older, their conversational skills will be as important as any other.
23. Spend some time alone.
24. Open your arms to change, but don't let go of your values.
25. Remember that silence is sometimes the best answer.
26. Read more books and watch less TV.
27. Live a good, honorable life. Then when you get older and think back,
you'll get to enjoy it a second time.
28. Trust in God but lock your car.
29. A loving atmosphere in your home is so important.
Do all you can to create a tranquil harmonious home.
30. In disagreements with loved ones, deal with the current situation.
Don't bring up the past.
31. Read between the lines.
32. Share your knowledge. It's a way to achieve immotality.
33. Be gentle with the earth.
34. Pray. There's immeasurable power in it.
35. Never interrupt when you are being flattered.
36. Mind your own business.
37. Don't trust a man/woman who doesn't close his/her eyes when you kiss.
38. Once a year, go someplace you've never been before.
39. If you make a lot of money, put it to use helping others while you are living.
That is wealth's greatest satisfaction.
40. Remember that not getting what you want is sometimes a stroke of luck.
41. Learn the rules then break some.
42. Remember that the best relationship is one where your love for each other is greater than your need for each other.
43. Judge your success by what you had to give up in order to get it.
44. Remember that your character is your destiny.
45. Approach love and cooking with reckless abandon.
ทางสายกลางของอาริสโตเติล
6:12 AM
thach do
กับมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนาเถรวาท
ทางสายกลางของอาริสโตเติลคืออะไร ?
ทาง สายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล คือ ค่า เฉลี่ยที่เป็นความพอเหมาะพอดีถูกต้องเหมาะสมแก่บุคคลในแต่ละกรณี ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ จำต้องมุ่งไปที่ทางสายกลางเพื่อความอยู่รอดและความสมดุลแห่งชีวิต ทาง สายกลางคือจุดกึ่งกลางระหว่างสิ่งที่มากเกินไปกับสิ่งที่ขาดพร่อง เช่น จุดกึ่งกลางของวัตถุก็คือตำแหน่งที่อยู่ห่างจากที่สุดแต่ละข้างในระยะ ตำแหน่งที่เท่ากันนั่นเอง ในวัตถุสิ่งของ ถ้า ๑๙ เป็นจำนวนข้างมาก ๑ เป็นจำนวนข้างน้อย จุดกึ่งกลางระหว่าง ๑๙ กับ ๑ ก็คือ ๑๐ เพราะจำนวน ๑๐ มากกว่า ๑ และน้อยกว่า ๑๙ ในอัตราที่เท่ากัน
๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ---------- ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘
1 - O O O O O O O O - 10 - O O O O O O O O - 19
ในทรรศนะของอาริสโตเติล ทางสายกลางที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์ เราไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนว่า ตำแหน่งหรือจุดใดคือจุดที่เรียกว่า “ทางสายกลางของแต่ละบุคคล” เพราะจุดที่เป็นทางสายกลางของแต่ละบุคคลไม่มีเกณฑ์มาตรฐานแน่นอนตายตัว แต่ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและปริบทแห่งสังคมของแต่ละบุคคล จุดที่เป็นทางสายกลางของบุคคลหนึ่ง อาจจะเป็นจุดที่ขาดพร่องหรือมากเกินไปของอีกบุคคลหนึ่งก็ได้ เช่น
ก๊วยเตี๋ยวจำนวน ๓ ชามอาจจะมากเกินไป และก๊วยเตี๋ยวจำนวน ๑ ชามอาจจะน้อยเกินไปสำหรับนายวิชัย เพราะนายวิชัยมีความจำเป็นต้องบริโภคมื้อละ ๒ ชาม ในขณะที่ก๊วยเตี๋ยวจำนวน ๒ ชามอาจไม่พอดีสำหรับนายวิรัตน์ก็ได้ เพราะนายวิรัตน์มีความจำเป็นต้องบริโภค มื้อละ ๓ ชาม โดยมีจำนวน ๒ ชามเป็นจำนวนข้างน้อย และ ๔ ชามเป็นจำนวนข้างมาก
เงินเดือน ๒,๐๐๐ บาทอาจจะเป็นจำนวนที่เหลือเฟือและเงินเดือนจำนวน ๑,๐๐๐ บาทอาจจะเป็นจำนวนที่น้อยเกินไปสำหรับนางสาวนิตยาผู้ทำหน้าที่เป็นสาวโรงงาน ในชานเมืองแห่งหนึ่ง เพราะเธอมีความจำเป็นต้องใช้สอยและเก็บไว้บ้างเพียงเดือนละ ๑,๕๐๐ บาทเท่านั้น ในขณะเดียวกัน เงินจำนวน ๑,๕๐๐ บาทอาจไม่พอค่ากาแฟรายเดือนของนายโสภณผู้เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่กลาง เมืองหลวงก็ได้
ในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี การใช้ช้อนกลางหรือใช้ช้อนตักข้าวเหนียวเข้า ปาก อาจจะเป็นเรื่องหยุมหยิมเจ้าอนามัยเกินไป และการยกจานเอาปากคาบข้าวเหนียวจากจาน อาจจะเป็นกิริยาที่หยาบกระด้างเกินไปสำหรับชาวชนบทอีสาน เพราะพวกเขานิยมใช้มือสะอาดพอควรปั้นข้าวเหนียวใส่ปาก และไม่นิยมใช้ช้อนกลาง ในขณะที่กิริยาลักษณะแบบนี้เอามาใช้กับสังคมเมืองหลวงไม่ได้
การประกอบพิธีมงคลสมรสที่มีขั้นตอนซับซ้อนตามหลักศาสนาฮินดู อาจเป็นเรื่องหยุมหยิมยุ่งยากเกินไปสำหรับชาวตะวันตกหรือแม้แต่คนที่นับถือ ศาสนาอื่น ในขณะเดียวกัน การประกอบพิธีมงคลสมรสที่มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน เพียงแต่เชิญแขกมาร่วมงานและกล่าวคำปฏิญญาต่อหน้าพระก็อาจจะเป็นเรื่องที่ มักง่ายเกินไปสำหรับชาวฮินดูเช่นกัน ถามว่า “จุดไหนที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นจุดกึ่งกลางพอดีเมื่อคน ๒ กลุ่มนี้มาอยู่รวมกัน ?”
สมมติเอาพิธีกรรมของฮินดูเป็นเลข ๑๐ พิธีกรรมของศาสนาอื่น ๆ เป็นเลข ๑ จุดกึ่งกลางระหว่างเลข ๑๐ กับเลข ๑ ก็คือ ๕.๕ (๑+๒+๓+๔+๕+=๕.๕=+๖+๗+๘+๙+๑๐) เพราะ ๕.๕ อยู่ห่างจาก ๑ และ ๑๐ ในระยะทางที่เท่ากัน บุคคลหนึ่ง สถานการณ์หนึ่ง ความคิดหรือการกระทำหนึ่งจะมี ๒ ลักษณะเสมอเมื่อมีการเปรียบเทียบกับ ๒ สิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม
คนธรรมดาคน หนึ่งดูเหมือนจะหยาบกระด้างเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ขลาดกลัว และดูเหมือนจะขลาดกลัวเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่หยาบกระด้าง ใน ทำนองเดียวกัน คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในระดับธรรมดาดูเหมือนจะเป็นปล่อยตัวตามอำเภอใจเกินไป เมื่อเทียบกับคนที่กระเหม็ดกระแหม่ และคนที่ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดูเหมือนจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายเมื่อเทียบกับคน ที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายสมถะและดูเหมือนว่าเป็นการดำรงชีวิตอยู่ใน ทางเรียบง่ายสมถะเมื่อเทียบกับคนที่สุรุ่ยสุร่าย
ความเป็นกลางมีโอกาสที่จะเอียงไปด้านซ้ายหรือขวาตลอดเวลา อยู่ที่มุมมองและการเปรียบเทียบ เช่น คนที่มีวิถีชีวิตปกติธรรมดา ในสภาวปกติอยู่คนเดียวก็ไม่มีอะไร ถ้ามีคนลักษณะแตกต่างกันอีก ๒ คนมาอยู่ด้วย คนหนึ่งมีนิสัยขลาดกลัว อีกคนหนึ่งมีนิสัยหยาบกระด้าง วิถีชีวิตปกติธรรมดาดูจะไม่ปกติเสียแล้วถ้านำ ไปเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตของสองคนที่มาใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่หยาบกระด้าง คนที่มีนิสัยปกติธรรมดาดูเหมือนจะเป็นขลาดกลัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ขาดกลัว คนที่มีนิสัยปกติธรรมดาดูเหมือนจะเป็นคนหยาบกระด้าง
ขลาดกลัว ธรรมดา หยาบกระด้าง
ในกรณีอื่น ๆ ก็เหมือนกัน เช่น วิถีชีวิตเรียบง่ายปกติธรรม เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่กระเหม็ดกระแหม่ ก็ยังดูเหมือนจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สุรุ่ยสุร่าย ก็ดูเหมือนจะเป็นคนกระเหม็ดกระแหม่
กระเหม็ดกระแหม่ ชีวิตธรรมดา สุรุ่ยสุร่าย
จึงสรุปได้ว่า ทาง สายกลางขึ้นอยู่กับความจำเป็นและบริบทของสังคมของแต่ละบุคคล และไม่มีสถานะแน่นอนตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับกาละ เทศะ บุคคล และบริบททางสังคมอื่น ๆ อีกหลายอย่าง นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับมุมมองเชิงเปรียบเทียบด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า ด้านหลัง สภาพสังคมวัฒนธรรม เรื่องจรรยาบรรณ วัฒนธรรมของสังคมแต่ละถิ่นที่และแต่ละยุค ความนิยมหรือไม่นิยมในแต่ละเรื่องของคนในชุมชนนั้น ๆ
ทางสายกลาง กาลเวลา และสถานที่
เนื่องจากอาริสโตเติลเป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์ ดังนั้น อาริสโตเติลจึงเน้นวิถีชีวิตที่จะอยู่รอดได้อย่างเป็นสุขจริงในสังคมเป็น หลัก สมมติว่า นายศุภชัยเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ดำเนินกิจการมาเป็นเวลา ๒๐ ปี วิถีชีวิตของเขาสุขสบายมาตลอดเวลา ๒๐ ปี สร้างผลกำไรพอเลี้ยงตัวและครอบครัวได้โดยไม่เดือดร้อนเสมอมา
ในทรรศนะของอาริสโตเติลถือว่า อาชีพของนายศุภชัยคือจุดที่เป็นทางสายกลางสำหรับเขา เพราะมันทำให้ชีวิตของเขาและครอบครัวสุขสบาย แต่เมื่อถึงปัจจุบัน กิจการของเขาเริ่มประสบปัญหา ค่าวัสดุก่อสร้างแพงขึ้น ค่าแรงงานแพงขึ้น งานรับเหมาก่อสร้างน้อยลง ในระยะ ๒-๓ ปีหลังนี้ เขาประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด
ถามว่า “กิจการของนายศุภชัยยังคงเป็นทางสายกลางสำหรับเขาอยู่หรือไม่ ?”
ตอบว่า “ไม่” เพราะเวลาได้เปลี่ยนแปลงไป สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ทางสายกลางที่เป็นจุดกึ่งกลางย่อมมีสิทธิ์เปลี่ยนไปเป็นที่สุดโต่งข้างน้อย หรือที่สุดโต่งข้างมากได้ หรือสมมติว่า กิจการของศุภชัยมีความจำเป็นต้องย้ายสถานที่ประกอบการ พอย่ายสถานที่ประกอบการ เขาเริ่มประสบภาวะขาดทุนทันที สิ่งที่เคยพอดีสำหรับเขา มาบัดนี้กลับไม่พอดีเสียแล้ว นี่คือคำตอบต่อปัญหาที่ว่า “สายทางกลางของอาริสโตเติลขึ้นอยู่กับกาลเวลาและสถานที่หรือไม่”
ในทรรศนะของอาริสโตเติล ทางสายกลางของแต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน จุดที่เป็นทางสายกลางของนาย ก. จะเอามาใช้กับนาย ข. ไม่ได้ เพราะเป็นไปได้ยากจริง ๆ ที่ความจำเป็นและบริบททางสังคมและสถานะของแต่ละบุคคลจะเหมือนกันทุกอย่าง
สิ่งที่เป็นกลางพอดีย่อม มากกว่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่น้อยกว่า และย่อมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ มากกว่า ถ้าบุคคลกล้าหาญ (A) ดูเหมือนว่าจะเป็นคนหยาบกระด้าง (B) เมื่อเทียบกับบุคคลผู้ขลาดกลัว (C) และดูเหมือนจะเป็นพวกขลาดกลัวเมื่อเทียบกับบุคคลหยาบกระด้าง
เมื่อ ไม่มีการเปรียบเทียบ ความกล้าหาญ(A) เป็นจุดกึ่งกลางพอดี เป็นทางสายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการเปรียบเทียบ ความเป็นจุดกึ่งกลางพอดีก็อาจเปลี่ยนไป นายวรพลซึ่งเป็นคนใจกว้างดูเหมือนว่าจะเป็นพวกสุรุ่ยสุร่ายเมื่อเทียบกับนาย วีรยุทธ์ซึ่งเป็นคนใจแคบ และนายวรพลนี่แหละดูเหมือนจะเป็นคนใจแคบเมื่อเทียบ กับนายวีรศักดิ์ที่เป็นคนสุรุ่ยสุร่าย
ใจแคบ ใจกว้าง สุรุ่ยสุร่าย
วีรยุทธ์ วรพล วีรศักดิ์
T--------------------- สุรุ่ยสุร่าย
ใจแคบ --------------------T
มีปัญหาว่า “ความรู้สึกและการกระทำของมนุษย์ทุกอย่างต่างมีจุดกึ่งกลางหรือความพอดีทั้ง นั้นหรือไม่ ?” อา ริสโตเติลเองได้ตอบปัญหานี้โดยการเสนอว่า ความรู้สึกและการกระทำที่เป็นความ ชั่วโดยสิ้นเชิงแล้วนั้น ไม่มีทางหาจุดกึ่งกลางที่เป็นความพอดีได้ เช่น กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต บุคคลผู้ทำความชั่วย่อมผิดโดยสถานเดียว เพราะความชั่วเป็นข้อสุดโต่งแล้วโดยอัตโนมัติ อาจจะเป็นข้อสุดโต่งข้างน้อยหรือข้างมากก็ได้ ในทำนองเดียวกัน สิ่งที่เป็นความพอดีโดยแน่นอนแล้ว ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะความดีย่อมอยู่ตรงจุดกึ่งกลางแล้วโดยอัตโนมัติ
มีปัญหาว่า ในเมื่อสิ่งที่เป็นความดีโดยแน่นอนไม่จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะมันอยู่ตรงจุดกึ่งกลางแล้วโดยอัตโนมัติ และสิ่งที่เป็นความชั่วโดยแน่นอนแล้วนั้น ย่อมไม่มีจุดกึ่งกลาง ความรู้สึกและการกระทำระดับไหนที่มีจุดกึ่งกลาง และเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง ?
อาริสโตเติลกล่าวว่า ความดีทางจริยธรรมย่อมเป็นทางสายกลางระหว่างความชั่ว ๒ อย่าง คือ ความมากเกินไปและความขาดพร่อง ลักษณะความดีทางจริยธรรมก็คือมุ่งไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างอารมณ์กับการกระทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นพบจุดกึ่งกลาง ซึ่งก็เหมือนกับการหาจุดกึ่งกลางของวงกลมนั่นแหละ
ความดี ๒ ระดับ
อาริสโตเติลไม่ใช่พวกเจ้าลัทธิตกขอบด้านใดด้านหนึ่ง แนวความคิดเชิงปรัชญาจึงค่อนข้างจะประณีประนอมไม่ดื้อดึง อาริสโตเติลแบ่ง ความดีเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. ความดีระดับธรรมดา หรือระดับธรรมชาติ
๒. ความดีระดับสมบูรณ์
ความดีระดับธรรมดา ยังไม่สมบูรณ์สูงสุด จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะเป็นเรื่องวิถีชีวิตในโลกิยสังคมของมนุษย์ ซึ่งแต่ละคนต่างมีสภาวะ ความจำเป็น บริบทแห่งสังคมแตกต่างกันออกไป ทุกอย่างในในโลกิยสังคมย่อมมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกฎแห่ง สังขตธรรม สิ่งที่เป็นจุดกึ่งกลางของนาย ก. ณ ที่นี้เดี๋ยวนี้ เมื่อเปลี่ยนที่เปลี่ยนเวลา อาจไม่ใช่จุดกึ่งกลางก็ได้ สิ่งที่เป็นทางสายกลางของนาย ก. ขณะที่อยู่คนเดียวอาจไม่เป็นทางสายกลางก็ได้เมื่อไปอยู่รวมกับคนอื่น หรือเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไป อาริสโตเติลย้ำตรงจุดนี้ว่า
ถ้า ทุกอย่างมันดีอยู่แล้ว นั่นย่อมถือเป็นโชคดี ความดีทุกอย่างย่อมมีจุดกึ่งกลางหรือทางสายกลางแล้วโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเปลี่ยนไปกลายเป็นความไม่ดีและไม่เหมาะสมเมื่อใด เมื่อนั้นจำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง นี่คือลักษณะของความดีระดับธรรมดา
ข้อความนี้เหมือนกำลังบอกว่า “ไม่มีหนทางใดบนโลกนี้ที่โรยด้วยดอกกุหลาบ” ความเป็นคนโชคดีทุกเวลาและสถานที่ไม่ใช่หาได้ง่าย บางกรณี คนดี สถานที่ดี สิ่งแวดล้อมดี แต่สิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ดี ก็ต้องพยายามหาจุดกึ่งกลางให้ได้ บางกรณี คนดี สถานที่ดี สิ่งที่กำลังทำดี แต่สิ่งแวดล้อมไม่มี ก็ไม่มีจุดกึ่งกลาง ต้องพยายามหากันต่อไป
ความดีระดับสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะสภาพความเป็นสังคมมีน้อย คนที่บรรลุถึงความดีสูงสุดมีสภาพเหมือนกับกลับเข้าไปสู่ต้นแบบดั้งเดิมของ ตัวเอง กลับไปอยู่ในกล่องซึ่งมีสภาพแวดล้อมจัดไว้ลงตัวแล้วสำหรับเขา อาริสโตเติลดู เหมือนจะเชื่อในทฤษฎีแบบที่พลาโตแสดงไว้
บ่อเกิดทางสายกลาง
ในทรรศนะของอาริสโตเติล ความรู้สึกและการกระทำที่เป็นความพอดีเป็นทางสายกลางนั้น เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างความเลว ๒ อย่าง คือ
๑. ความมากเกินไปหรือสิ่งที่มากเกินไป
๒. ความขาดพร่อง หรือสิ่งที่น้อยเกินไป
อาริสโตเติลเน้นความดีอันเป็นคุณธรรมกลางที่มันมาสัมพันธ์กับความเป็นอยู่ใน โลกิยสังคมของมนุษย์ อะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตมนุษย์แต่ละคนเป็นสุขในโลกิยสังคมแห่งรัฐได้อย่างมี ศักดิ์ศรีและคุณค่า สิ่งนั้นถือเป็นจุดกึ่งกลางอันเป็นความพอดีสำหรับชีวิต
ในวิถีชีวิตมนุษย์ระดับสังคมนั้น ทางสายกลางเกิดขึ้นได้โดยการเอาความต้องการของมนุษย์ทุกคนมารวมกันแล้ว หารด้วยจำนวนคนทั้งหมด ผลหารนั่นแหละคือจุดที่เป็นทางสายกลาง ในการอธิบายปรัชญาอาริสโตเติลจึงมักมีผู้นิยมใช้ภาษาสถิติว่า Mean=ค่ามัชฌิมเลขคณิต เช่น เราต้องการทราบว่าอัตราค่าครองชีพโดยเฉลี่ยของคน ๕ คนในเวลา ๑ เดือนเป็นจำนวนเท่าไร ในกรณีที่นาย ก. ใช้ ๕๐๐ บาท นาย ข. ใช้ ๗๐๐ บาท นาย ค. ใช้ ๘๐๐ บาท นาย ง.ใช้ ๘๕๐ นาย จ. ใช้ ๙๐๐ บาท เรารู้ได้โดยการหาค่ามัชฌิมเลขคณิตดังนี้
A + B + C + D + E = X
5
๕๐๐ + ๗๐๐ + ๘๐๐ + ๘๕๐ + ๙๐๐ = ๗๔๐
๕
ค่าครองชีพโดยเฉลี่ยในกรณีนี้คือ ๗๔๐ บาทต่อเดือน ในวิถีชีวิตมนุษย์แบบปัจเจกชน ทางสายกลางเกิดขึ้นได้โดยการรวมความต้องการทั้งหมดของเขาเข้าด้วยกันแล้วหาร ด้วยสภาวะทั้งหมดของเขาเอง นี่คือจุดที่เป็นทางสายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า “เราจะไปถึงจุดที่ว่านี้ได้อย่างไร ?” ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น อาริสโตเติลเสนอเครื่องมือเพื่อนำไปสู่จุดที่ว่านั้นดังนี้
๑. การศึกษา อา ริสโตเติลกล่าวว่า ความเฉลียวฉลาดหาได้จากการศึกษา ส่วนธรรมจรรยาหาได้จากการปฏิบัติ ความเฉลียวฉลาดเป็นสิ่งกลาง ๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่วก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย ความเฉลียวฉลาดที่พัฒนาขึ้นไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “เชาวน์ปัญญา” หรือ “พุทธิปัญญา” เท่านั้น จึงจะทำให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องได้
๒. การยับยั้งใจ ความ ไม่ยับยั้งใจถือเป็นความเลว เพราะทำให้พลาดจากความดีอันเป็นกลางไปสู่ที่สุด โต่งข้างมากหรือข้างน้อย การยับยั้งใจเป็นการชะลอการลงมือปฏิบัติเพื่อลด ความเข้มของความรู้สึกและการกระทำให้ลงมาอยู่ในระดับที่พอดี คนที่มีการศึกษาหากไม่มีการยับยั้งใจ ย่อมทำให้ลงมือกระทำอย่างขาดสติ
๓. การไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หมาย ถึงการพิจารณา การคิดคำนวณใคร่ครวญอย่างรอบคอบ การพิจารณาอย่างช้า ๆ และลงมือปฏิบัติอย่างเฉียบพลันเมื่อได้ผลสรุปแล้ว อาริสโตเติลกล่าวว่า การ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบเป็นเรื่องของความคิดที่ถูกต้อง ยึดหลักเหตุผล คิดโดยกรรมวิธีที่ถูกต้อง การไม่ถึงบทสรุปอย่างเร่งรีบ
เครื่องมือ ๓ ประการนี้ มีลักษณะเป็นบูรณาการ คือ ทั้ง ๓ รวมลงเป็น ๑ จึงจะทำให้ไปถึงจุดที่เป็นทางสายกลางได้
องค์ประกอบของทางสายกลาง
องค์ประกอบของทางสายกลางเป็นหลักตัดสินว่า จุดที่ว่านั้นเป็นทางสายกลางจริงหรือไม่ เพราะในวิถีชีวิตมนุษย์ ความพอดีของนาย ก. อาจเป็นสาเหตุทำให้นาย ข. เดือด ร้อน กรณีอย่างนี้อาจทำให้เกิดความสับสนได้ว่า ความพอดีของนาย ก.เป็นทางสายกลางจริงหรือไม่ องค์ประกอบที่เป็นหลักตัดสินทางสายกลางนั้น มี ๕ อย่าง คือ
๑. เป็นความรู้สึกและการกระทำในเวลาที่เหมาะสม (at the right time)
๒. เป็นความรู้สึกและการกระทำสิ่งที่ดีต่อบุคคลที่ดี (the right thing to the right person)
๓. เป็นความรู้สึกและการกระทำเพื่อจุดมุ่งหมายที่ดี (the right extent)
๔. เป็นความรู้สึกและการกระทำในวิถีทางที่ถูกต้อง (the right way)
๕. เป็นความรู้สึกและการกระทำด้วยเจตนาดี (with the right motive)
พฤติกรรมทุกอย่างจะต้องใช้องค์ประกอบทั้ง ๕ อย่างนี้ตัดสินว่าเป็นทางสายกลางหรือไม่ ? ในกรณีของนาย ก. อาจเป็นความพอดีอันเป็นกลางหรือไม่ก็ได้ นาย ก.อาจเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงพอดีพอเหมาะกับ ตัวเอง จนทำให้นาย ข. ซึ่งเป็นโจรเกิดความเดือดร้อนก็ได้ หรือถ้าไม่เป็นทางสายกลาง นาย ก. อาจเป็นเจ้าของโรงลิเกซึ่งเปิดแสดงกลางตลาดเก็บเงินค่าผ่านประตู ส่งเครื่องขยายเสียงรบกวนหูชาวบ้านในยามค่ำคืนก็ได้ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า องค์ประกอบ ๕ อย่างนี้ใช้ตัดสินเฉพาะในเรื่องความดีระดับธรรมดาเท่านั้น การที่นาย ค.ประพฤติผิดในกามในเวลาที่เหมาะสม ในสถานที่ดี ในหญิงที่ดี เพื่อจุดมุ่งหมายที่ดี และในวิถีทางที่ถูกต้อง เราไม่อาจเรียกว่าเป็นความดีที่เป็นทางสายกลางได้
ความสำคัญของทางสายกลาง
ทางสายกลางเป็นเรื่องของความรู้สึกและการกระทำที่พอเหมาะพอดีกับแต่ละบุคคล เป็นสภาวะกลางที่ทุกคนต้องขวนขวายหาเอาเองเพื่อสร้างความสมดุลในตัวเอง และ ทำให้สามารถอยู่รอดได้ในสังคมโลกพร้อมกับสันติสุขที่แท้จริง
ในสรรพสิ่งที่เป็นความดีระดับธรรมดานั้น ย่อมหาจุดกึ่งกลางได้เสมอ นั่นคือสัตว์โลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์มีสิทธิที่จะหาจุดกึ่งกลางที่พอ เหมาะพอดีกับตัวเองได้ “ค่อนข้างจะมั่นใจว่า ที่อาริสโตเติลสอนหลักทางสายกลางนี้ แท้ที่จริงแล้ว ท่านต้องการสอนให้รู้ว่า ชีวิตคือการต่อสู้นั่นเอง” อาริสโตเติลจึงมองว่า ทางสายกลางถือเป็นทางเลือก เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ สัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ เพราะในทุกอย่างที่เป็นความดีระดับธรรมดานั้น มีจุดกึ่งกลางหรือทางสายกลางอันเป็นความพอดีไว้ให้เลือกอยู่ แท้ที่จริงแล้ว อาริสโตเติลต้องการกระตุ้นให้มนุษย์ต่อสู้กับอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางวิถี ชีวิตซึ่งอาจต้องประสบเข้าสักวันหนึ่ง ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
ทุก ศิลป์ ทุกการแสวงหา ทุกการกระทำ และทุกการเลือกสรรย่อมมีจุดกึ่งกลางอันเป็นความพอดีเป็นจุดหมายสุดท้าย ทุกสิ่งมุ่งไปที่ความดีอันเป็นจุดกึ่งกลางนั้น
ความเป็นด็อกเตอร์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สูงส่งและไกลเกินฝันสำหรับคนชนบท บ้านนอกทั้งหลาย มองด้วยสายตาและประเมินด้วยความรู้สึกอย่างคร่าว ๆ เราก็พอจะรู้ว่าทุกอย่างที่จะพาไปสู่ความเป็นด็อกเตอร์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่สุดโต่งข้างมากทั้งนั้นสำหรับเรา ในกรณีอย่างนี้ อาริสโตเติลบอกว่า “ยังก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เป็นความดีระดับธรรมดานั้นต้องประกอบด้วยสภาวะทั้ง ๓ อย่างพร้อมกัน คือ (๑)มากเกินไป (๒)พอดี (๓)น้อยเกินไป”
วิถีชีวิตของนาย ก.ผู้ ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกถึง ๖ คน โดยการเข็นรถขายไอศกรีมนั้น ย่อมเต็มไปด้วยความขาดแคลนขัดสน ขาดพร่องไปเสียทุกอย่าง ในสังคมนั้น อาจจะมีกิจการอื่นที่สร้างผลกำไรมหาศาล เช่น การเป็นเจ้าของธนาคาร หรือการเป็นเจ้าของกิจการโรงงานต่อรถยนต์ขนาดใหญ่ การที่นาย ก.ไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการธนาคารหรือโรงงานต่อรถยนต์ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาต้องจมปลักอยู่กับการเข็นรถขายไอศกรีมตลอดไป นาย ก.มีสิทธิที่จะเลือกอาชีพและพบอาชีพที่พอดีพอเหมาะเแก่การดำรงชีพของเขาได้ ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งร้านขายข้าวแกงก็ได้
กรณีของนาย ก.นี้ เราจะเห็นว่า การเป็นเจ้าของกิจการธนาคารหรือโรงงานประกอบรถยนต์เป็นที่สุดโต่งข้างมาก การเข็นรถขายไอศกรีมเป็นที่สุดโต่งข้างน้อย โดยมีการเป็นเจ้าของร้านขายข้าวแกงเป็นทางสายกลาง อาริสโตเติลบอกไว้เป็นทางเผื่อเลือกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่สามารถหาพบทางสายกลางสำหรับตนเองได้ ก็ต้องเลือกเอาข้างที่ชั่วร้าย น้อยกว่า คือที่ตัวเราเห็นว่าชั่วร้ายน้อยกว่าอีกข้างหนึ่งนั่นเอง
ทางสายกลางของอาริสโตเติล
กับมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนาเถรวาท
(๑) ข้อพิจารณาประเด็นที่เหมือนกัน
อาริสโตเติลใช้คำว่า “คุณธรรม” แทนคำว่า “ทางสายกลาง” ในบางกรณี เพราะคุณธรรมเป็นทางสายกลางแล้วโดยอัตโนมัติ อาริสโตเติลเองมีความเชื่อว่า บุคคลจะบรรลุคุณธรรมหรือทางสายกลางนี้ได้ก็เฉพาะในสังคมเท่านั้น และรัฐเท่านั้นที่จะสามารถช่วยให้ปัจเจกชนบรรลุคุณธรรมได้ คุณธรรมอันเป็นทางสายกลางถือเป็นจริยธรรมทางสังคมโดยสาระ เพราะมีลักษณะเป็นการประสานประนีประนอมหรือบูรณะสถานะ สภาวะ ความจำเป็นของมนุษย์แต่ละคนเข้ามาสู่จุดที่เป็นดุลยภาพ อาริสโตเติลมักพูด ถึงเรื่องในลักษณะต่อไปนี้เสมอ
ที่สุดโต่งข้างน้อย
ทางสายกลาง
ที่สุดโต่งข้างมาก
ความเกียจคร้าน
ความสันโดษ
ความละโมบ
ความถ่อมตัวเกินไป
ความเปิดใจกว้าง
มานะทิฏฐิ
ความไม่แยแสไม่ใส่ใจ
ความสุภาพอ่อนโยน
ความหงุดหงิดจู้จี้
ความเครียดหน้างอ
ความมีมิตรไมตรี
การประจบประแจง
ความแกล้งโง่เซ่อ
ความจริงใจ
การคุยอวดใหญ่โต
เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างที่อาริสโตเติลพูดถึง ล้วนเป็นหลักปฏิบัติที่เนื่องด้วยสังคมทั้งสิ้น เป็นหลักมนุษยสัมพันธ์ อาริสโตเติลแม้จะให้ความสนใจปัจเจกชนอยู่บ้าง แต่บทสรุปทุกครั้งก็จะเน้นไปที่สังคม ในกรณีที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแล้วได้รับคำชมเชยว่า เป็นผู้ใช้ชีวิตที่เป็นกลาง อาริสโตเติลคัดค้านในข้อนี้
นางสาวจิตติมา ชอบอยู่คนเดียว เธอไม่ค่อยติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นประมาณ ๒-๓ เดือนจึงจะมีคนไปเยี่ยมติดต่อกับเธอ และทุกคนที่ไปหาเธอ ต่างชมเชยเธอว่าเป็นคนดี สันโดษ เปิดใจกว้าง สุภาพอ่อนโยน เอาใจเก่ง มีมิตรไมตรี มีความจริงใจเป็นที่สุด
ในกรณีของนางสาวจิตติมานี้ อาริสโตเติลถือว่าอาจจะไม่ใช่วิถีชีวิตที่อยู่ใน ทางสายกลางก็ได้ เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวตลอดไปได้ มนุษย์จะสามารถค้นพบทางสายกลางที่แท้จริงได้เฉพาะในกรณีที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วม กับบุคคลอื่นเท่านั้น นี่คือบทสรุปหลักทางสายกลางในฐานะที่เป็นหลักปฏิบัติ เนื่องด้วยสังคม เป็นหลักสร้างความสมดุลแห่งชีวิตปัจเจกชนแล้วขยายวงกว้างออกไปถึงระดับโลก สร้างความสุขระดับธรรมดาและมีโอกาสพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดเป็นนิรันดร์ ได้
มัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนามีกัลยาณมิตรเป็นปัจจัยเริ่มแรก กัลยาณมิตรเป็นบุพพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของอริยอัฏฐังคิกมรรค และความมีกัลยาณมิตรนี่เองเป็นปัจจัยทางสังคมพิเศษที่จะทำให้เกิดการปฏิบัติ ดีงามและเป็นเครื่องจุดชนวนความคิดที่เรียกว่า“โยนิโสมนสิการ” ในเบื้องต้น และเป็นเครื่องประคับประคองเสริมเติมเต็มกระตุ้นโยนิโสมนสิการ มัชฌิมปฏิปทา เป็นระบบพัฒนาชีวิตให้พ้นทุกข์โทษ เข้าใจธรรมชาติ ทะนุถนอมธรรมชาติ และอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มอย่างมีสุข พิจารณาจากประเด็นที่กล่าวนี้ จะเห็นว่า มัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนากับทางสายกลางของอาริสโตเติลเหมือนในฐานะเป็น หลักปฏิบัติเนื่องด้วยสังคม อีก ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คืออาริสโตเติลจะเน้นปัจเจกชนแล้วแผ่ออกไปสู่สังคมรวม พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเถรวาทนั้นจะเน้นสังคมปัจเจกชนก่อนที่จะขยายไปสู่สังคม รวมเช่นเดียวกัน แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคงไม่พ้นเรื่อง “เจตนา” อาริสโตเติลบอกว่าเกณฑ์ตัดสินความเป็นทางสายกลางข้อหนึ่งคือ “เจตนาดี”(the right motive) พระพุทธศาสนาก็มีข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” ภิกษุ ทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม และมีข้อความหลายตอนในคัมภีร์พระไตรปิฎกที่บอกว่า การกระทำที่ดีต้องมาจากจุดเริ่มต้นก่อนคือคิดดีเจตนาดี ถ้าคิดไม่ดี มีเจตนาไม่ดี การพูดและการกระทำทางกายก็ไม่ดีไปด้วยในขั้นนี้จะยังไม่แยกประเด็นว่าเป็น สังคมระดับโลกิยะหรือสังคมระดับโลกุตตระ
๒. ข้อพิจารณาประเด็นที่ต่างกัน
ความต่างกันทางด้านสถานะ ความ ต่างกันระหว่างหลักการทั้งสองน่าจะพิจารณาได้จากประเด็นต่อไปนี้ ทางสายกลาง ของอาริสโตเติลเป็นเรื่องของความรู้สึกและการกระทำของมนุษย์ที่เป็นไปเพื่อ ความอยู่รอดอย่างสันติสุข มีศักดิ์ศรีและคุณค่า จุดสำคัญที่ทำให้ทางสายกลางของอาริสโตเติลมีลักษณะเฉพาะมากขึ้น คือ ความเป็นทางเลือก ทุกคนจะต้องเลือกหาเอาเอง ในกรณีที่ไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางได้ ยังสามารถเลือกเอาข้างที่ชั่วร้ายน้อยกว่า เราอาจจะให้คำนิยามทางสายกลางของอาริสโตเติลได้อย่างหนึ่งว่า “ทางเลือกที่ถูกเลือก”
จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ความที่มันดำรงสภาวะกลางจริง ๆ เพราะต้องอยู่ห่างจากที่สุดโต่งข้างน้อยและข้างมากในระยะทางที่เท่ากัน ไม่ว่าจะวัดจากด้านใด แม้ว่าโดยตัวของมันเอง ทางสายกลางจะมีความเป็นกลางพอดีมีมาตรฐานอยู่ด้วยตัวของมันเอง แต่เมื่อเอามาสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมนุษย์ ดูคล้ายกับว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ แน่นอนไม่มีมาตรฐานตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับการพิจารณาเลือกสรรของมนุษย์ ถือเป็นการดึงกฎเกณฑ์เข้ามาหาตัวมนุษย์
ความต่างกันทางด้านระดับ ทาง สายกลางอาริสโตเติลดูเหมือนจะเป็นจริยธรรมขั้นต้นเท่านั้นเมื่อเทียบกับหลัก จริยธรรมในพระพุทธศาสนา จริยธรรมในพุทธปรัชญาแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ (๑) ระดับศีลธรรมของสังคม คือ ศีล ๕ (๒) ระดับศีลละเอียดของสังคมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ (๓) ระดับไตรสิกขาคือมรรคมีองค์ ๘
สามารถพูดได้อย่างไรว่า ทางสายกลางของอาริสโตเติลเทียบเท่ากับจริยธรรมระดับศีลธรรมของสังคมในพุทธ ปรัชญา ? อาริสโตเติลสอนทางสายกลางเน้นให้มนุษย์มีชีวิตอย่างสันติสุขมีศักดิ์ศรี คุณค่าในชีวิตประจำวัน โดยมีการเร่งเร้าให้มนุษย์ต่อสู้ชีวิต ขวนขวายพยายามต่อสู้ไปจนถึงที่สุด เช่น การประกอบอาชีพของมนุษย์ อาริสโตเติลกล่าวว่าอาชีพอะไรก็ได้ที่มันทำให้ชีวิตอยู่รอดได้อย่างสันติ สุขมีศักดิ์ศรีและไม่ผิดกฎหมายของบ้านเมือง
สมมติว่า นาย ก. มีอาชีพขายของชำ เนื่องจากร้านของเขาค่อนข้างจะใหญ่ ในร้านจึงเต็มไปด้วยสินค้าหลายชนิด และในจำนวนสินค้าเหล่านั้น ก็มียาฆ่าแมลง สุรา เหล้าเบียร์ แถมที่บ่อหลังบ้านยังมีการเลี้ยงปลาดุกเป็นอาชีพเสริมอีกด้วย อาชีพแบบนี้ ถ้าไปถามอาริสโตเติลว่า “นาย ก.ปฏิบัติตามหลักทางสายกลางหรือไม่ เขาค้นพบทางสายกลางหรือจุดกึ่งกลางหรือ ไม่ ?”
อาริสโตเติลจะตอบว่า “เขาค้นพบทางสายกลางแล้วแน่นอน เพราะเขาประกอบอาชีพสุจริต” ใน กรณีเดียวกันนี้ หันไปมองทรรศนะทางพระพุทธศาสนาโดยเอาหลักมัชฌิมาปฏิปทามา เทียบ นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาจะบอกว่า “ยังก่อน ปฏิบัติเช่นนี้ยังไม่ชื่อว่าปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา อาชีพของนาย ก.นั้นเป็นอาชีพสุจิตจริง แต่ไม่ชอบธรรม” เพราะเหตุไรนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาจึงกล่าวอย่างนี้ ? นิยามความหมายขององค์มรรคข้อสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ คำว่า “สัมมาอาชีวะ” หมายถึง การเลี้ยงชีพที่ถูกต้องชอบธรรม โดยงดเว้นจากาอาชีพ ๕ อย่างต่อไปนี้ คือ (๑) ค้าขายมนุษย์ (๒) ค้าขายอาวุธ (๓) เลี้ยงสัตว์เพื่อขาย/ฆ่า (๔) ค้าขายสุรา (๕) ค้าขายยาพิษ
นี่คือความต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างทางสายกลางของอาริสโตเติลกับ มัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนา ความจริง ทางสายกลางของอาริสโตเติลอธิบายเปรียบเทียบกับหลักปุริสธรรม ๗ ได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอัตตัญญุตา ความรู้จักตน มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท
ความต่างกันในด้านเกณฑ์ตัดสิน หลัก ปุริสธรรมในพระพุทธศาสนาถือเป็นจริยศาสตร์สังคมที่เอื้ออำนวยแก่การอยู่เป็น สุขในสังคม เป็นเรื่องของความรู้จักสังคมและในขณะเดียวกันก็ปรับตัวเองให้เข้ากับสังคม ได้อย่างกลมกลืนไม่แปลกแยก เพราะการที่บุคคลจะสามารถเลือกแนวทางอันเป็นจุดกึ่งกลางพอดีสำหรับตัวเองได้ ในเบื้องต้นต้องรู้จักตัวเอง รู้จักประมาณ รู้จักชุมชน และรู้จักการเข้าหาชุมชน แต่ปัญหาก็คือ ถ้าเปรียบเทียบอย่างนี้ นักจริยศาสตร์ยุคปัจจุบันก็จะไม่เห็นด้วยอีก เพราะถือว่าทางสายกลางของอาริสโตเติลเป็นจริยศาสตร์ เมื่อจะเปรียบเทียบหลักพระพุทธศาสนาก็ควรที่จะเปรียบเทียบกับจริยศาสตร์แท้ ในพระพุทธศาสนา นั่นคือ ศีล ๕ กุศลกรรมบถ ๑๐ และอริยมรรคมีองค์ ๘ จะเปรียบเทียบกับระดับไหนนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ทางสายกลางของอาริสโตเติลไม่อาจวัดเป็นจำนวนเลขตายตัว เพราะถูกกำหนดโดย บริบทของสังคมและสภาพแวดล้อมหลากหลาย แต่อาริสโตเติลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
ทาง สายกลางของผู้ใดต้องขึ้นอยู่กับการกำหนดของบุคคลนั้นเอง เขาเป็นผู้รู้ดีที่สุดว่าอะไรคือทางสายกลางสำหรับเขา แต่การกำหนดทางสายกลางของเขาต้องเป็นไปตามหลักเหตุผล ไม่ใช่ความรู้สึก
ข้อความนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดความเป็นทางสายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล ในขณะที่หลักมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนามีองค์ประกอบที่กำหนดความเป็น มัชฌิมาปฏิปทาไว้แน่นอน
มัชฌิม ปฏิปทาในพระพุทธศาสนา แปลว่า ข้อปฏิบัติอันมีในท่ามกลาง วิธีการหรือทางดำเนินชีวิตที่เป็นกลางตามธรรมชาติ สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ เป็นหลักปฏิบัติที่สอดคล้องกับธรรมซึ่งมีองค์ประกอบ ๘ อย่าง และทำให้ผู้ดำเนินตามเป็นอารยชน เป็นทางเก่าแก่ที่เคยมีผู้เดินมาก่อนแล้ว เป็นกฎเกณฑ์ที่วางไว้เป็นมาตรฐานแน่นอน ใน วิถีชีวิตมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกสรรทางสายกลางอันเหมาะสมกับตนเอง เมื่อมีการปฏิบัติชอบ(สัมมาปฏิบัติ) ย่อมถือว่าดำเนินชีวิตเป็นกลางตามธรรมชาติ และเมื่อนั้นวิถีชีวิตของมนุษย์จะไต่ระดับขึ้นไปสู่สิ่งที่ดีเรื่อย ๆ จนถึงจุดหมายสุดท้ายคือหมดกิเลส
เราย่อมสรรเสริญสัมมาปฏิปทา ไม่ว่าจะเป็นของบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ตาม คฤหัสถ์ ก็ตาม บรรพชิตก็ตามปฏิบัติชอบแล้ว เพราะการปฏิบัตินั้นเป็นเหตุ ย่อมยังญายธรรมอันเป็นกุศลให้สำเร็จได้ ก็สัมมาปฏิปทาคืออะไร คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ”
การบำเพ็ญธรรมหรือกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ที่ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป บางคราวก็นิยมพูดว่า “เป็นการปฏิบัติทางสายกลาง” ลักษณะอย่างนี้ถูกต้องในทรรศนะของอาริสโตเติล แต่ในพระพุทธศาสนาถือว่า ไม่ถูกต้องนัก เพราะการปฏิบัติทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนานั้น ถือว่าถ้ามีความมั่นใจว่าถูกต้องจริงแล้ว ยิ่งปฏิบัติด้วยการระดมความเพียรความเอาใจใส่สุดกำลังเพียงใด ยิ่งทำให้วิถีชีวิตสมบูรณ์ประเสริฐมากขึ้นเท่านั้น การปฏิบัติที่เริ่มต้น ด้วยสัมมาทิฏฐิ ย่อมไม่เฉออกนอกทาง เพราะมีองค์ประกอบที่เป็นสัมมา คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิทำหน้าที่ปรับให้เกิดความสมดุลภายในตัวบุคคลโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
อาริสโตเติลกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
อาริสโตเติลเกิดเมื่อ พ.ศ.๑๕๙ ที่เมืองสตากิราในแคว้นเธรส ก่อนพระเยซูประสูติ ๓๘๔ ปี หลังการประสูติของพระสิทธัตถะโคดมพุทธเจ้า ๒๓๙ ปี เพราะฉะนั้น สามารถตั้งข้อสันนิษฐานในระดับหนึ่งว่า อาริสโตเติลไม่ได้รับอิทธิพลจากคริศต์ศาสนา แต่จะได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดเชิงศาสนาของลัทธิใดนั้นคิดว่าต้องมีแน่นอน ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งต่างหาก
ข้อมูลที่เราได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ก็คือ อาริสโตเติลเกิดทีหลังพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนาในยุคที่อาริสโตเติลเกิดนั้นอยู่ในช่วงสมัยของพระเจ้าอโศก มหาราชพอดีซึ่งถือว่าเป็นยุคทองแห่งพระพุทธศาสนาหลักพุทธปรินิพพาน พระเจ้า อโศกมหาราชเป็นกำลังสำคัญให้ความอุปถัมภ์ในการสังคายนาครั้งที่ ๓ และร่วมกับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระส่งสมณทูตออกไปประกาศพระศาสนายังนานาอารย ประเทศ อิทธิพลของแนวความคิดทางพระพุทธศาสนาในยุคนี้จึงแพร่หลายออกไปทั่ว ทุกทิศ ในฐานะเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ อาริสโตเติลคงไม่พลาดที่จะศึกษาแนวความคิดทางพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน แต่ศึกษาแล้วจะรับเอาแนวความคิดนั้นมาปฏิบัติหรือมาเป็นพื้นฐานทางปรัชญาของ ตนหรือไม่ นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ถ้าจะให้ผู้เขียนวิจารณ์ในประเด็นนี้ ผู้เขียนเองค่อนข้างจะมั่นใจว่า นักปรัชญาทุกคนเมื่อได้ศึกษาทฤษฎีใดแล้ว ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทฤษฎีนั้นผ่านเลยไปจากสมองของตัวเองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้ก็คือ นักปรัชญาจะเก็บทฤษฎีทุกอย่างที่เขาเคยมีประสบการณ์มา นักปรัชญาสำนักโยคา จารสอนเรื่อง “อาลวิญญาณ” ซึ่งเป็นที่เก็บก่อสิ่งที่มนุษย์ประสบอยู่ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ ประสบมาและเก็บไว้ในอาลยวิญญาณนี้ จะปรากฏตัวออกมาทางลักษณะนิสัย ความคิดการกระทำของบุคคลไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ในกรณีของอาริสโตเติลนั้น สมมติว่าได้ยินได้ฟังจากคนอื่น หรือได้ศึกษาทฤษฎีทางพระพุทธศาสนาด้วยตัวเอง แนวความคิดทฤษฎีนั้นก็จะฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจนั่นคือ “อาลยวิญญาณ” และปรากฏตัวออกมาในเมื่ออาริสโตเติลได้แสดงหลักทางสายกลาง แต่เนื่องจากอาริสโตเติลเป็นผู้หนึ่งที่มีแนวความคิดที่โดดเด่นทางด้าน ปรัชญาการเมือง เสนอรูปแบบการจัดองค์การและระเบียบที่ดีให้แก่สังคม สอนหลักจริยธรรมของปัจเจกชนในสังคม ไม่ใช่จริยธรรมของปัจเจกชนในปัจเจกภาวะ เมื่อมีโอกาสได้แสดงหลักทางสายกลาง จึงแสดงเน้นไปที่ทางสายกลางระดับโลกิยะ ซึ่งเราจะเรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทาระดับโลกิยะ” ก็ได้ นี่เป็นประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนได้ตั้งเป็นปัญหาไว้ให้ผู้สนใจใฝ่คิดได้ทำ การศึกษาค้นคว้าต่อไป
จุดประสงค์ในการแสดง
พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักมัชฌิมาปฏิปทามีจุดประสงค์ ๒ ประการ คือ
๑. เพื่อปฏิเสธแนวความคิดเชิงอภิปรัชญา ๒ ขั้ว คือ
๑.๑ ขั้วยืนยันสุดโต่ง ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) อัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีอยู่) การกเวทกาทิเอกัตตวาท (ความเชื่อว่าผู้ทำกับผู้เสวยเป็นสิ่งเดียวกัน) และการกเวทกาทินานัตตวาท (ความเห็นว่าผู้ทำกับผู้เสวยต่างสิ่งกัน)
๑.๒ ขั้วปฏิเสธสุดโต่ง ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) นัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีอยู่) การกเวทกาทินานัตตวาท (ความเชื่อว่าผู้ทำกับผู้เสวยต่างสิ่งกัน)
๒. เพื่อปฏิเสธแนวความคิดเชิงจริยศาสตร์ ๒ ขั้ว คือ
๒.๑ กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นในกาม การปฏิบัติโดยสนองตอบความต้องการของตัวเองด้วยสิ่งน่าใคร่น่าพอใจ
๒.๒ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติเคร่ง บีบรัดตัวเองให้ลำบากเพื่อไล่ความชั่วร้ายออกไปจากตัวเอง
พระพุทธเจ้าทรงแก้ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างพวกสัสสตวาทินกับพวกอุจเฉท วาทินโดยทรงแสดงหลักมัชเฌนธรรมในรูปแบบปฏิจจสมุปบาท ให้มองโลกและปรากฏการณ์ในรูปแบบการอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น และทรงแก้ ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างพวกกามสุขัลลิกานุโยคกับพวกอัตตกิลมถานุโยค โดยทรงแสดงหลักมัชฌิมาปฏิปทาตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปสู่ระดับสูงสุด ผู้ปฏิบัติอาจจะเริ่มแบบใดก็ได้ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยจริตของแต่ละบุคคล ผู้มีราคจริตก็อาจจะเจริญอสุภกัมมัฏฐาน ผู้มีโมหจริตก็อาจจะเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ผู้มีโทสจริตก็อาจจะเจริญ เมตตาพรหมวิหาร เป็นต้น
อาริสโตเติลแสดงหลักทางสายกลางเพื่อจุดประสงค์อะไร ?
จริยศาสตร์อาริสโตเติลเป็นอันตวิทยา (Teleology) ซึ่งถือว่าการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งปวงมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนอยู่ จุดหมายปลายทางนี้เป็นตัวกำหนดความเป็นไปของแต่ละสิ่ง (๑) จุดหมายระหว่างทาง เป็นจุดหมายเฉพาะหน้าที่มนุษย์ต้องการเพื่อผ่านไปสู่จุดหมายที่ไกลกว่านั้น (๒) จุดหมายปลายทาง เป็นจุดหมายที่เป็นจุดจบในตัวเองโดยไม่ต้องนำไปสู่จุดหมายอื่นต่อไป จุดหมายปลายทางของมนุษย์คือความดี ความดีคือความสุข การที่มนุษย์แสวงหาความดีก็เท่ากับพวกเขากำลังแสวงหาความสุขซึ่งเป็นจุดหมาย สูงสุดของชีวิต ความดีและความสุขเป็นเรื่องเดียวกันความสุขระดับสูงสุดในทรรศนะของอาริสโต เติลเป็นเรื่องความรู้สึกของวิญญาณ ไม่ใช่ของร่างกาย “ความสุขคือกิจกรรมของวิญญาณที่สอดคล้องกับคุณธรรมที่สมบูรณ์ คนที่มีความสุขคือคนที่ดำเนินชีวิตด้วยคุณธรรมที่สมบูรณ์” อาริสโตเติลจำแนกจุดหมายเป็น ๒ ประเภท คือ
พิจารณาจากรายละเอียดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าจุดประสงค์ของการแสดงหลักทางสายกลางของอาริสโตเติลไม่ได้มีอะไร อื่นนอกจากเพื่อให้สังคมดำเนินไปด้วยคุณธรรมสมบูรณ์ ผู้เขียนคิดว่าอาริสโตเติลไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะแย้งแนวความคิดของสำนัก อื่นโดยตรง แต่ในฐานะที่เป็นนักปรัชญาคนหนึ่งที่โดดเด่นอยู่ในยุคนั้น อาริสโตเติลก็ต้องแสดงทฤษฎีออกมาให้นักปรัชญาอื่นได้รู้จัก และด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ก็ต้องแสดงหลักที่จะทำให้ชีวิตในสังคมอยู่ดีมีสุข
พระพุทธเจ้าแม้จุดประสงค์ที่ทรงแสดงหลักมัชฌิมาปฏิปทาเพื่อปฏิเสธทฤษฎีสุด โต่งดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์จะล้มล้าง แต่ทรงเสนอทางเลือกใหม่จากประสบการณ์ของพระองค์เอง พื้นฐานที่ทำให้ จริยศาสตร์ว่าด้วยทางสายกลางของอาริสโตเติลต่างจากหลักมัชฌิมาปฏิปทาในพระ พุทธศาสนาก็คือ แนวความคิดแบบเทวนิยมซึ่งอาริสโตเติลเรียกว่า “แบบ”(Form)และเป็นแบบบริสุทธิ์เป็นปฐมเหตุแห่งการเคลื่อนไหว แต่พระเจ้าในทรรศนะของอาริสโตเติลเป็นเพียงผู้ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดย ที่ตัวเองไม่เคลื่อนไหว ไม่ได้เป็นผู้สร้างโลกเหมือนพระเจ้าในคริสตศาสนา http://www.watpaknam.org/knowledge/view.php?id=37
ทางสายกลางของอาริสโตเติลคืออะไร ?
ทาง สายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล คือ ค่า เฉลี่ยที่เป็นความพอเหมาะพอดีถูกต้องเหมาะสมแก่บุคคลในแต่ละกรณี ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ จำต้องมุ่งไปที่ทางสายกลางเพื่อความอยู่รอดและความสมดุลแห่งชีวิต ทาง สายกลางคือจุดกึ่งกลางระหว่างสิ่งที่มากเกินไปกับสิ่งที่ขาดพร่อง เช่น จุดกึ่งกลางของวัตถุก็คือตำแหน่งที่อยู่ห่างจากที่สุดแต่ละข้างในระยะ ตำแหน่งที่เท่ากันนั่นเอง ในวัตถุสิ่งของ ถ้า ๑๙ เป็นจำนวนข้างมาก ๑ เป็นจำนวนข้างน้อย จุดกึ่งกลางระหว่าง ๑๙ กับ ๑ ก็คือ ๑๐ เพราะจำนวน ๑๐ มากกว่า ๑ และน้อยกว่า ๑๙ ในอัตราที่เท่ากัน
๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ---------- ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘
1 - O O O O O O O O - 10 - O O O O O O O O - 19
ในทรรศนะของอาริสโตเติล ทางสายกลางที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของมนุษย์ เราไม่สามารถกำหนดได้แน่นอนว่า ตำแหน่งหรือจุดใดคือจุดที่เรียกว่า “ทางสายกลางของแต่ละบุคคล” เพราะจุดที่เป็นทางสายกลางของแต่ละบุคคลไม่มีเกณฑ์มาตรฐานแน่นอนตายตัว แต่ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและปริบทแห่งสังคมของแต่ละบุคคล จุดที่เป็นทางสายกลางของบุคคลหนึ่ง อาจจะเป็นจุดที่ขาดพร่องหรือมากเกินไปของอีกบุคคลหนึ่งก็ได้ เช่น
ก๊วยเตี๋ยวจำนวน ๓ ชามอาจจะมากเกินไป และก๊วยเตี๋ยวจำนวน ๑ ชามอาจจะน้อยเกินไปสำหรับนายวิชัย เพราะนายวิชัยมีความจำเป็นต้องบริโภคมื้อละ ๒ ชาม ในขณะที่ก๊วยเตี๋ยวจำนวน ๒ ชามอาจไม่พอดีสำหรับนายวิรัตน์ก็ได้ เพราะนายวิรัตน์มีความจำเป็นต้องบริโภค มื้อละ ๓ ชาม โดยมีจำนวน ๒ ชามเป็นจำนวนข้างน้อย และ ๔ ชามเป็นจำนวนข้างมาก
เงินเดือน ๒,๐๐๐ บาทอาจจะเป็นจำนวนที่เหลือเฟือและเงินเดือนจำนวน ๑,๐๐๐ บาทอาจจะเป็นจำนวนที่น้อยเกินไปสำหรับนางสาวนิตยาผู้ทำหน้าที่เป็นสาวโรงงาน ในชานเมืองแห่งหนึ่ง เพราะเธอมีความจำเป็นต้องใช้สอยและเก็บไว้บ้างเพียงเดือนละ ๑,๕๐๐ บาทเท่านั้น ในขณะเดียวกัน เงินจำนวน ๑,๕๐๐ บาทอาจไม่พอค่ากาแฟรายเดือนของนายโสภณผู้เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่กลาง เมืองหลวงก็ได้
ในเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี การใช้ช้อนกลางหรือใช้ช้อนตักข้าวเหนียวเข้า ปาก อาจจะเป็นเรื่องหยุมหยิมเจ้าอนามัยเกินไป และการยกจานเอาปากคาบข้าวเหนียวจากจาน อาจจะเป็นกิริยาที่หยาบกระด้างเกินไปสำหรับชาวชนบทอีสาน เพราะพวกเขานิยมใช้มือสะอาดพอควรปั้นข้าวเหนียวใส่ปาก และไม่นิยมใช้ช้อนกลาง ในขณะที่กิริยาลักษณะแบบนี้เอามาใช้กับสังคมเมืองหลวงไม่ได้
การประกอบพิธีมงคลสมรสที่มีขั้นตอนซับซ้อนตามหลักศาสนาฮินดู อาจเป็นเรื่องหยุมหยิมยุ่งยากเกินไปสำหรับชาวตะวันตกหรือแม้แต่คนที่นับถือ ศาสนาอื่น ในขณะเดียวกัน การประกอบพิธีมงคลสมรสที่มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน เพียงแต่เชิญแขกมาร่วมงานและกล่าวคำปฏิญญาต่อหน้าพระก็อาจจะเป็นเรื่องที่ มักง่ายเกินไปสำหรับชาวฮินดูเช่นกัน ถามว่า “จุดไหนที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นจุดกึ่งกลางพอดีเมื่อคน ๒ กลุ่มนี้มาอยู่รวมกัน ?”
สมมติเอาพิธีกรรมของฮินดูเป็นเลข ๑๐ พิธีกรรมของศาสนาอื่น ๆ เป็นเลข ๑ จุดกึ่งกลางระหว่างเลข ๑๐ กับเลข ๑ ก็คือ ๕.๕ (๑+๒+๓+๔+๕+=๕.๕=+๖+๗+๘+๙+๑๐) เพราะ ๕.๕ อยู่ห่างจาก ๑ และ ๑๐ ในระยะทางที่เท่ากัน บุคคลหนึ่ง สถานการณ์หนึ่ง ความคิดหรือการกระทำหนึ่งจะมี ๒ ลักษณะเสมอเมื่อมีการเปรียบเทียบกับ ๒ สิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม
คนธรรมดาคน หนึ่งดูเหมือนจะหยาบกระด้างเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ขลาดกลัว และดูเหมือนจะขลาดกลัวเมื่อเปรียบเทียบกับคนที่หยาบกระด้าง ใน ทำนองเดียวกัน คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในระดับธรรมดาดูเหมือนจะเป็นปล่อยตัวตามอำเภอใจเกินไป เมื่อเทียบกับคนที่กระเหม็ดกระแหม่ และคนที่ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดูเหมือนจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่ายเมื่อเทียบกับคน ที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างเรียบง่ายสมถะและดูเหมือนว่าเป็นการดำรงชีวิตอยู่ใน ทางเรียบง่ายสมถะเมื่อเทียบกับคนที่สุรุ่ยสุร่าย
ความเป็นกลางมีโอกาสที่จะเอียงไปด้านซ้ายหรือขวาตลอดเวลา อยู่ที่มุมมองและการเปรียบเทียบ เช่น คนที่มีวิถีชีวิตปกติธรรมดา ในสภาวปกติอยู่คนเดียวก็ไม่มีอะไร ถ้ามีคนลักษณะแตกต่างกันอีก ๒ คนมาอยู่ด้วย คนหนึ่งมีนิสัยขลาดกลัว อีกคนหนึ่งมีนิสัยหยาบกระด้าง วิถีชีวิตปกติธรรมดาดูจะไม่ปกติเสียแล้วถ้านำ ไปเปรียบเทียบกับวิถีชีวิตของสองคนที่มาใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่หยาบกระด้าง คนที่มีนิสัยปกติธรรมดาดูเหมือนจะเป็นขลาดกลัว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ขาดกลัว คนที่มีนิสัยปกติธรรมดาดูเหมือนจะเป็นคนหยาบกระด้าง
ขลาดกลัว ธรรมดา หยาบกระด้าง
ในกรณีอื่น ๆ ก็เหมือนกัน เช่น วิถีชีวิตเรียบง่ายปกติธรรม เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่กระเหม็ดกระแหม่ ก็ยังดูเหมือนจะเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สุรุ่ยสุร่าย ก็ดูเหมือนจะเป็นคนกระเหม็ดกระแหม่
กระเหม็ดกระแหม่ ชีวิตธรรมดา สุรุ่ยสุร่าย
จึงสรุปได้ว่า ทาง สายกลางขึ้นอยู่กับความจำเป็นและบริบทของสังคมของแต่ละบุคคล และไม่มีสถานะแน่นอนตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับกาละ เทศะ บุคคล และบริบททางสังคมอื่น ๆ อีกหลายอย่าง นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับมุมมองเชิงเปรียบเทียบด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า ด้านหลัง สภาพสังคมวัฒนธรรม เรื่องจรรยาบรรณ วัฒนธรรมของสังคมแต่ละถิ่นที่และแต่ละยุค ความนิยมหรือไม่นิยมในแต่ละเรื่องของคนในชุมชนนั้น ๆ
ทางสายกลาง กาลเวลา และสถานที่
เนื่องจากอาริสโตเติลเป็นบิดาแห่งรัฐศาสตร์ ดังนั้น อาริสโตเติลจึงเน้นวิถีชีวิตที่จะอยู่รอดได้อย่างเป็นสุขจริงในสังคมเป็น หลัก สมมติว่า นายศุภชัยเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ดำเนินกิจการมาเป็นเวลา ๒๐ ปี วิถีชีวิตของเขาสุขสบายมาตลอดเวลา ๒๐ ปี สร้างผลกำไรพอเลี้ยงตัวและครอบครัวได้โดยไม่เดือดร้อนเสมอมา
ในทรรศนะของอาริสโตเติลถือว่า อาชีพของนายศุภชัยคือจุดที่เป็นทางสายกลางสำหรับเขา เพราะมันทำให้ชีวิตของเขาและครอบครัวสุขสบาย แต่เมื่อถึงปัจจุบัน กิจการของเขาเริ่มประสบปัญหา ค่าวัสดุก่อสร้างแพงขึ้น ค่าแรงงานแพงขึ้น งานรับเหมาก่อสร้างน้อยลง ในระยะ ๒-๓ ปีหลังนี้ เขาประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอด
ถามว่า “กิจการของนายศุภชัยยังคงเป็นทางสายกลางสำหรับเขาอยู่หรือไม่ ?”
ตอบว่า “ไม่” เพราะเวลาได้เปลี่ยนแปลงไป สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ทางสายกลางที่เป็นจุดกึ่งกลางย่อมมีสิทธิ์เปลี่ยนไปเป็นที่สุดโต่งข้างน้อย หรือที่สุดโต่งข้างมากได้ หรือสมมติว่า กิจการของศุภชัยมีความจำเป็นต้องย้ายสถานที่ประกอบการ พอย่ายสถานที่ประกอบการ เขาเริ่มประสบภาวะขาดทุนทันที สิ่งที่เคยพอดีสำหรับเขา มาบัดนี้กลับไม่พอดีเสียแล้ว นี่คือคำตอบต่อปัญหาที่ว่า “สายทางกลางของอาริสโตเติลขึ้นอยู่กับกาลเวลาและสถานที่หรือไม่”
ในทรรศนะของอาริสโตเติล ทางสายกลางของแต่ละบุคคลย่อมไม่เหมือนกัน จุดที่เป็นทางสายกลางของนาย ก. จะเอามาใช้กับนาย ข. ไม่ได้ เพราะเป็นไปได้ยากจริง ๆ ที่ความจำเป็นและบริบททางสังคมและสถานะของแต่ละบุคคลจะเหมือนกันทุกอย่าง
สิ่งที่เป็นกลางพอดีย่อม มากกว่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่น้อยกว่า และย่อมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ มากกว่า ถ้าบุคคลกล้าหาญ (A) ดูเหมือนว่าจะเป็นคนหยาบกระด้าง (B) เมื่อเทียบกับบุคคลผู้ขลาดกลัว (C) และดูเหมือนจะเป็นพวกขลาดกลัวเมื่อเทียบกับบุคคลหยาบกระด้าง
เมื่อ ไม่มีการเปรียบเทียบ ความกล้าหาญ(A) เป็นจุดกึ่งกลางพอดี เป็นทางสายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล แต่เมื่อใดก็ตามที่มีการเปรียบเทียบ ความเป็นจุดกึ่งกลางพอดีก็อาจเปลี่ยนไป นายวรพลซึ่งเป็นคนใจกว้างดูเหมือนว่าจะเป็นพวกสุรุ่ยสุร่ายเมื่อเทียบกับนาย วีรยุทธ์ซึ่งเป็นคนใจแคบ และนายวรพลนี่แหละดูเหมือนจะเป็นคนใจแคบเมื่อเทียบ กับนายวีรศักดิ์ที่เป็นคนสุรุ่ยสุร่าย
ใจแคบ ใจกว้าง สุรุ่ยสุร่าย
วีรยุทธ์ วรพล วีรศักดิ์
T--------------------- สุรุ่ยสุร่าย
ใจแคบ --------------------T
มีปัญหาว่า “ความรู้สึกและการกระทำของมนุษย์ทุกอย่างต่างมีจุดกึ่งกลางหรือความพอดีทั้ง นั้นหรือไม่ ?” อา ริสโตเติลเองได้ตอบปัญหานี้โดยการเสนอว่า ความรู้สึกและการกระทำที่เป็นความ ชั่วโดยสิ้นเชิงแล้วนั้น ไม่มีทางหาจุดกึ่งกลางที่เป็นความพอดีได้ เช่น กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต บุคคลผู้ทำความชั่วย่อมผิดโดยสถานเดียว เพราะความชั่วเป็นข้อสุดโต่งแล้วโดยอัตโนมัติ อาจจะเป็นข้อสุดโต่งข้างน้อยหรือข้างมากก็ได้ ในทำนองเดียวกัน สิ่งที่เป็นความพอดีโดยแน่นอนแล้ว ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะความดีย่อมอยู่ตรงจุดกึ่งกลางแล้วโดยอัตโนมัติ
มีปัญหาว่า ในเมื่อสิ่งที่เป็นความดีโดยแน่นอนไม่จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะมันอยู่ตรงจุดกึ่งกลางแล้วโดยอัตโนมัติ และสิ่งที่เป็นความชั่วโดยแน่นอนแล้วนั้น ย่อมไม่มีจุดกึ่งกลาง ความรู้สึกและการกระทำระดับไหนที่มีจุดกึ่งกลาง และเป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง ?
อาริสโตเติลกล่าวว่า ความดีทางจริยธรรมย่อมเป็นทางสายกลางระหว่างความชั่ว ๒ อย่าง คือ ความมากเกินไปและความขาดพร่อง ลักษณะความดีทางจริยธรรมก็คือมุ่งไปที่จุดกึ่งกลางระหว่างอารมณ์กับการกระทำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นพบจุดกึ่งกลาง ซึ่งก็เหมือนกับการหาจุดกึ่งกลางของวงกลมนั่นแหละ
ความดี ๒ ระดับ
อาริสโตเติลไม่ใช่พวกเจ้าลัทธิตกขอบด้านใดด้านหนึ่ง แนวความคิดเชิงปรัชญาจึงค่อนข้างจะประณีประนอมไม่ดื้อดึง อาริสโตเติลแบ่ง ความดีเป็น ๒ ระดับ คือ
๑. ความดีระดับธรรมดา หรือระดับธรรมชาติ
๒. ความดีระดับสมบูรณ์
ความดีระดับธรรมดา ยังไม่สมบูรณ์สูงสุด จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะเป็นเรื่องวิถีชีวิตในโลกิยสังคมของมนุษย์ ซึ่งแต่ละคนต่างมีสภาวะ ความจำเป็น บริบทแห่งสังคมแตกต่างกันออกไป ทุกอย่างในในโลกิยสังคมย่อมมีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกฎแห่ง สังขตธรรม สิ่งที่เป็นจุดกึ่งกลางของนาย ก. ณ ที่นี้เดี๋ยวนี้ เมื่อเปลี่ยนที่เปลี่ยนเวลา อาจไม่ใช่จุดกึ่งกลางก็ได้ สิ่งที่เป็นทางสายกลางของนาย ก. ขณะที่อยู่คนเดียวอาจไม่เป็นทางสายกลางก็ได้เมื่อไปอยู่รวมกับคนอื่น หรือเมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างอาจเปลี่ยนแปลงไป อาริสโตเติลย้ำตรงจุดนี้ว่า
ถ้า ทุกอย่างมันดีอยู่แล้ว นั่นย่อมถือเป็นโชคดี ความดีทุกอย่างย่อมมีจุดกึ่งกลางหรือทางสายกลางแล้วโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเปลี่ยนไปกลายเป็นความไม่ดีและไม่เหมาะสมเมื่อใด เมื่อนั้นจำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง นี่คือลักษณะของความดีระดับธรรมดา
ข้อความนี้เหมือนกำลังบอกว่า “ไม่มีหนทางใดบนโลกนี้ที่โรยด้วยดอกกุหลาบ” ความเป็นคนโชคดีทุกเวลาและสถานที่ไม่ใช่หาได้ง่าย บางกรณี คนดี สถานที่ดี สิ่งแวดล้อมดี แต่สิ่งที่กำลังทำอยู่ไม่ดี ก็ต้องพยายามหาจุดกึ่งกลางให้ได้ บางกรณี คนดี สถานที่ดี สิ่งที่กำลังทำดี แต่สิ่งแวดล้อมไม่มี ก็ไม่มีจุดกึ่งกลาง ต้องพยายามหากันต่อไป
ความดีระดับสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องหาจุดกึ่งกลาง เพราะสภาพความเป็นสังคมมีน้อย คนที่บรรลุถึงความดีสูงสุดมีสภาพเหมือนกับกลับเข้าไปสู่ต้นแบบดั้งเดิมของ ตัวเอง กลับไปอยู่ในกล่องซึ่งมีสภาพแวดล้อมจัดไว้ลงตัวแล้วสำหรับเขา อาริสโตเติลดู เหมือนจะเชื่อในทฤษฎีแบบที่พลาโตแสดงไว้
บ่อเกิดทางสายกลาง
ในทรรศนะของอาริสโตเติล ความรู้สึกและการกระทำที่เป็นความพอดีเป็นทางสายกลางนั้น เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างความเลว ๒ อย่าง คือ
๑. ความมากเกินไปหรือสิ่งที่มากเกินไป
๒. ความขาดพร่อง หรือสิ่งที่น้อยเกินไป
อาริสโตเติลเน้นความดีอันเป็นคุณธรรมกลางที่มันมาสัมพันธ์กับความเป็นอยู่ใน โลกิยสังคมของมนุษย์ อะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตมนุษย์แต่ละคนเป็นสุขในโลกิยสังคมแห่งรัฐได้อย่างมี ศักดิ์ศรีและคุณค่า สิ่งนั้นถือเป็นจุดกึ่งกลางอันเป็นความพอดีสำหรับชีวิต
ในวิถีชีวิตมนุษย์ระดับสังคมนั้น ทางสายกลางเกิดขึ้นได้โดยการเอาความต้องการของมนุษย์ทุกคนมารวมกันแล้ว หารด้วยจำนวนคนทั้งหมด ผลหารนั่นแหละคือจุดที่เป็นทางสายกลาง ในการอธิบายปรัชญาอาริสโตเติลจึงมักมีผู้นิยมใช้ภาษาสถิติว่า Mean=ค่ามัชฌิมเลขคณิต เช่น เราต้องการทราบว่าอัตราค่าครองชีพโดยเฉลี่ยของคน ๕ คนในเวลา ๑ เดือนเป็นจำนวนเท่าไร ในกรณีที่นาย ก. ใช้ ๕๐๐ บาท นาย ข. ใช้ ๗๐๐ บาท นาย ค. ใช้ ๘๐๐ บาท นาย ง.ใช้ ๘๕๐ นาย จ. ใช้ ๙๐๐ บาท เรารู้ได้โดยการหาค่ามัชฌิมเลขคณิตดังนี้
A + B + C + D + E = X
5
๕๐๐ + ๗๐๐ + ๘๐๐ + ๘๕๐ + ๙๐๐ = ๗๔๐
๕
ค่าครองชีพโดยเฉลี่ยในกรณีนี้คือ ๗๔๐ บาทต่อเดือน ในวิถีชีวิตมนุษย์แบบปัจเจกชน ทางสายกลางเกิดขึ้นได้โดยการรวมความต้องการทั้งหมดของเขาเข้าด้วยกันแล้วหาร ด้วยสภาวะทั้งหมดของเขาเอง นี่คือจุดที่เป็นทางสายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า “เราจะไปถึงจุดที่ว่านี้ได้อย่างไร ?” ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น อาริสโตเติลเสนอเครื่องมือเพื่อนำไปสู่จุดที่ว่านั้นดังนี้
๑. การศึกษา อา ริสโตเติลกล่าวว่า ความเฉลียวฉลาดหาได้จากการศึกษา ส่วนธรรมจรรยาหาได้จากการปฏิบัติ ความเฉลียวฉลาดเป็นสิ่งกลาง ๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ดีหรือชั่วก็ได้ ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย ความเฉลียวฉลาดที่พัฒนาขึ้นไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “เชาวน์ปัญญา” หรือ “พุทธิปัญญา” เท่านั้น จึงจะทำให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องได้
๒. การยับยั้งใจ ความ ไม่ยับยั้งใจถือเป็นความเลว เพราะทำให้พลาดจากความดีอันเป็นกลางไปสู่ที่สุด โต่งข้างมากหรือข้างน้อย การยับยั้งใจเป็นการชะลอการลงมือปฏิบัติเพื่อลด ความเข้มของความรู้สึกและการกระทำให้ลงมาอยู่ในระดับที่พอดี คนที่มีการศึกษาหากไม่มีการยับยั้งใจ ย่อมทำให้ลงมือกระทำอย่างขาดสติ
๓. การไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หมาย ถึงการพิจารณา การคิดคำนวณใคร่ครวญอย่างรอบคอบ การพิจารณาอย่างช้า ๆ และลงมือปฏิบัติอย่างเฉียบพลันเมื่อได้ผลสรุปแล้ว อาริสโตเติลกล่าวว่า การ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบเป็นเรื่องของความคิดที่ถูกต้อง ยึดหลักเหตุผล คิดโดยกรรมวิธีที่ถูกต้อง การไม่ถึงบทสรุปอย่างเร่งรีบ
เครื่องมือ ๓ ประการนี้ มีลักษณะเป็นบูรณาการ คือ ทั้ง ๓ รวมลงเป็น ๑ จึงจะทำให้ไปถึงจุดที่เป็นทางสายกลางได้
องค์ประกอบของทางสายกลาง
องค์ประกอบของทางสายกลางเป็นหลักตัดสินว่า จุดที่ว่านั้นเป็นทางสายกลางจริงหรือไม่ เพราะในวิถีชีวิตมนุษย์ ความพอดีของนาย ก. อาจเป็นสาเหตุทำให้นาย ข. เดือด ร้อน กรณีอย่างนี้อาจทำให้เกิดความสับสนได้ว่า ความพอดีของนาย ก.เป็นทางสายกลางจริงหรือไม่ องค์ประกอบที่เป็นหลักตัดสินทางสายกลางนั้น มี ๕ อย่าง คือ
๑. เป็นความรู้สึกและการกระทำในเวลาที่เหมาะสม (at the right time)
๒. เป็นความรู้สึกและการกระทำสิ่งที่ดีต่อบุคคลที่ดี (the right thing to the right person)
๓. เป็นความรู้สึกและการกระทำเพื่อจุดมุ่งหมายที่ดี (the right extent)
๔. เป็นความรู้สึกและการกระทำในวิถีทางที่ถูกต้อง (the right way)
๕. เป็นความรู้สึกและการกระทำด้วยเจตนาดี (with the right motive)
พฤติกรรมทุกอย่างจะต้องใช้องค์ประกอบทั้ง ๕ อย่างนี้ตัดสินว่าเป็นทางสายกลางหรือไม่ ? ในกรณีของนาย ก. อาจเป็นความพอดีอันเป็นกลางหรือไม่ก็ได้ นาย ก.อาจเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงพอดีพอเหมาะกับ ตัวเอง จนทำให้นาย ข. ซึ่งเป็นโจรเกิดความเดือดร้อนก็ได้ หรือถ้าไม่เป็นทางสายกลาง นาย ก. อาจเป็นเจ้าของโรงลิเกซึ่งเปิดแสดงกลางตลาดเก็บเงินค่าผ่านประตู ส่งเครื่องขยายเสียงรบกวนหูชาวบ้านในยามค่ำคืนก็ได้ ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่า องค์ประกอบ ๕ อย่างนี้ใช้ตัดสินเฉพาะในเรื่องความดีระดับธรรมดาเท่านั้น การที่นาย ค.ประพฤติผิดในกามในเวลาที่เหมาะสม ในสถานที่ดี ในหญิงที่ดี เพื่อจุดมุ่งหมายที่ดี และในวิถีทางที่ถูกต้อง เราไม่อาจเรียกว่าเป็นความดีที่เป็นทางสายกลางได้
ความสำคัญของทางสายกลาง
ทางสายกลางเป็นเรื่องของความรู้สึกและการกระทำที่พอเหมาะพอดีกับแต่ละบุคคล เป็นสภาวะกลางที่ทุกคนต้องขวนขวายหาเอาเองเพื่อสร้างความสมดุลในตัวเอง และ ทำให้สามารถอยู่รอดได้ในสังคมโลกพร้อมกับสันติสุขที่แท้จริง
ในสรรพสิ่งที่เป็นความดีระดับธรรมดานั้น ย่อมหาจุดกึ่งกลางได้เสมอ นั่นคือสัตว์โลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์มีสิทธิที่จะหาจุดกึ่งกลางที่พอ เหมาะพอดีกับตัวเองได้ “ค่อนข้างจะมั่นใจว่า ที่อาริสโตเติลสอนหลักทางสายกลางนี้ แท้ที่จริงแล้ว ท่านต้องการสอนให้รู้ว่า ชีวิตคือการต่อสู้นั่นเอง” อาริสโตเติลจึงมองว่า ทางสายกลางถือเป็นทางเลือก เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ สัตว์โลกโดยเฉพาะมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ เพราะในทุกอย่างที่เป็นความดีระดับธรรมดานั้น มีจุดกึ่งกลางหรือทางสายกลางอันเป็นความพอดีไว้ให้เลือกอยู่ แท้ที่จริงแล้ว อาริสโตเติลต้องการกระตุ้นให้มนุษย์ต่อสู้กับอุปสรรคที่เข้ามาขัดขวางวิถี ชีวิตซึ่งอาจต้องประสบเข้าสักวันหนึ่ง ดังข้อความตอนหนึ่งว่า
ทุก ศิลป์ ทุกการแสวงหา ทุกการกระทำ และทุกการเลือกสรรย่อมมีจุดกึ่งกลางอันเป็นความพอดีเป็นจุดหมายสุดท้าย ทุกสิ่งมุ่งไปที่ความดีอันเป็นจุดกึ่งกลางนั้น
ความเป็นด็อกเตอร์ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สูงส่งและไกลเกินฝันสำหรับคนชนบท บ้านนอกทั้งหลาย มองด้วยสายตาและประเมินด้วยความรู้สึกอย่างคร่าว ๆ เราก็พอจะรู้ว่าทุกอย่างที่จะพาไปสู่ความเป็นด็อกเตอร์นั้น ต้องเป็นสิ่งที่สุดโต่งข้างมากทั้งนั้นสำหรับเรา ในกรณีอย่างนี้ อาริสโตเติลบอกว่า “ยังก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เป็นความดีระดับธรรมดานั้นต้องประกอบด้วยสภาวะทั้ง ๓ อย่างพร้อมกัน คือ (๑)มากเกินไป (๒)พอดี (๓)น้อยเกินไป”
วิถีชีวิตของนาย ก.ผู้ ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูกถึง ๖ คน โดยการเข็นรถขายไอศกรีมนั้น ย่อมเต็มไปด้วยความขาดแคลนขัดสน ขาดพร่องไปเสียทุกอย่าง ในสังคมนั้น อาจจะมีกิจการอื่นที่สร้างผลกำไรมหาศาล เช่น การเป็นเจ้าของธนาคาร หรือการเป็นเจ้าของกิจการโรงงานต่อรถยนต์ขนาดใหญ่ การที่นาย ก.ไม่สามารถเป็นเจ้าของกิจการธนาคารหรือโรงงานต่อรถยนต์ ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาต้องจมปลักอยู่กับการเข็นรถขายไอศกรีมตลอดไป นาย ก.มีสิทธิที่จะเลือกอาชีพและพบอาชีพที่พอดีพอเหมาะเแก่การดำรงชีพของเขาได้ ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งร้านขายข้าวแกงก็ได้
กรณีของนาย ก.นี้ เราจะเห็นว่า การเป็นเจ้าของกิจการธนาคารหรือโรงงานประกอบรถยนต์เป็นที่สุดโต่งข้างมาก การเข็นรถขายไอศกรีมเป็นที่สุดโต่งข้างน้อย โดยมีการเป็นเจ้าของร้านขายข้าวแกงเป็นทางสายกลาง อาริสโตเติลบอกไว้เป็นทางเผื่อเลือกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่สามารถหาพบทางสายกลางสำหรับตนเองได้ ก็ต้องเลือกเอาข้างที่ชั่วร้าย น้อยกว่า คือที่ตัวเราเห็นว่าชั่วร้ายน้อยกว่าอีกข้างหนึ่งนั่นเอง
ทางสายกลางของอาริสโตเติล
กับมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนาเถรวาท
(๑) ข้อพิจารณาประเด็นที่เหมือนกัน
อาริสโตเติลใช้คำว่า “คุณธรรม” แทนคำว่า “ทางสายกลาง” ในบางกรณี เพราะคุณธรรมเป็นทางสายกลางแล้วโดยอัตโนมัติ อาริสโตเติลเองมีความเชื่อว่า บุคคลจะบรรลุคุณธรรมหรือทางสายกลางนี้ได้ก็เฉพาะในสังคมเท่านั้น และรัฐเท่านั้นที่จะสามารถช่วยให้ปัจเจกชนบรรลุคุณธรรมได้ คุณธรรมอันเป็นทางสายกลางถือเป็นจริยธรรมทางสังคมโดยสาระ เพราะมีลักษณะเป็นการประสานประนีประนอมหรือบูรณะสถานะ สภาวะ ความจำเป็นของมนุษย์แต่ละคนเข้ามาสู่จุดที่เป็นดุลยภาพ อาริสโตเติลมักพูด ถึงเรื่องในลักษณะต่อไปนี้เสมอ
ที่สุดโต่งข้างน้อย
ทางสายกลาง
ที่สุดโต่งข้างมาก
ความเกียจคร้าน
ความสันโดษ
ความละโมบ
ความถ่อมตัวเกินไป
ความเปิดใจกว้าง
มานะทิฏฐิ
ความไม่แยแสไม่ใส่ใจ
ความสุภาพอ่อนโยน
ความหงุดหงิดจู้จี้
ความเครียดหน้างอ
ความมีมิตรไมตรี
การประจบประแจง
ความแกล้งโง่เซ่อ
ความจริงใจ
การคุยอวดใหญ่โต
เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างที่อาริสโตเติลพูดถึง ล้วนเป็นหลักปฏิบัติที่เนื่องด้วยสังคมทั้งสิ้น เป็นหลักมนุษยสัมพันธ์ อาริสโตเติลแม้จะให้ความสนใจปัจเจกชนอยู่บ้าง แต่บทสรุปทุกครั้งก็จะเน้นไปที่สังคม ในกรณีที่มนุษย์คนใดคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแล้วได้รับคำชมเชยว่า เป็นผู้ใช้ชีวิตที่เป็นกลาง อาริสโตเติลคัดค้านในข้อนี้
นางสาวจิตติมา ชอบอยู่คนเดียว เธอไม่ค่อยติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นประมาณ ๒-๓ เดือนจึงจะมีคนไปเยี่ยมติดต่อกับเธอ และทุกคนที่ไปหาเธอ ต่างชมเชยเธอว่าเป็นคนดี สันโดษ เปิดใจกว้าง สุภาพอ่อนโยน เอาใจเก่ง มีมิตรไมตรี มีความจริงใจเป็นที่สุด
ในกรณีของนางสาวจิตติมานี้ อาริสโตเติลถือว่าอาจจะไม่ใช่วิถีชีวิตที่อยู่ใน ทางสายกลางก็ได้ เพราะโดยความเป็นจริงแล้ว มนุษย์ไม่สามารถอยู่คนเดียวตลอดไปได้ มนุษย์จะสามารถค้นพบทางสายกลางที่แท้จริงได้เฉพาะในกรณีที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วม กับบุคคลอื่นเท่านั้น นี่คือบทสรุปหลักทางสายกลางในฐานะที่เป็นหลักปฏิบัติ เนื่องด้วยสังคม เป็นหลักสร้างความสมดุลแห่งชีวิตปัจเจกชนแล้วขยายวงกว้างออกไปถึงระดับโลก สร้างความสุขระดับธรรมดาและมีโอกาสพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดเป็นนิรันดร์ ได้
มัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนามีกัลยาณมิตรเป็นปัจจัยเริ่มแรก กัลยาณมิตรเป็นบุพพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของอริยอัฏฐังคิกมรรค และความมีกัลยาณมิตรนี่เองเป็นปัจจัยทางสังคมพิเศษที่จะทำให้เกิดการปฏิบัติ ดีงามและเป็นเครื่องจุดชนวนความคิดที่เรียกว่า“โยนิโสมนสิการ” ในเบื้องต้น และเป็นเครื่องประคับประคองเสริมเติมเต็มกระตุ้นโยนิโสมนสิการ มัชฌิมปฏิปทา เป็นระบบพัฒนาชีวิตให้พ้นทุกข์โทษ เข้าใจธรรมชาติ ทะนุถนอมธรรมชาติ และอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มอย่างมีสุข พิจารณาจากประเด็นที่กล่าวนี้ จะเห็นว่า มัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนากับทางสายกลางของอาริสโตเติลเหมือนในฐานะเป็น หลักปฏิบัติเนื่องด้วยสังคม อีก ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คืออาริสโตเติลจะเน้นปัจเจกชนแล้วแผ่ออกไปสู่สังคมรวม พระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเถรวาทนั้นจะเน้นสังคมปัจเจกชนก่อนที่จะขยายไปสู่สังคม รวมเช่นเดียวกัน แต่ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคงไม่พ้นเรื่อง “เจตนา” อาริสโตเติลบอกว่าเกณฑ์ตัดสินความเป็นทางสายกลางข้อหนึ่งคือ “เจตนาดี”(the right motive) พระพุทธศาสนาก็มีข้อนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ” ภิกษุ ทั้งหลาย เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม และมีข้อความหลายตอนในคัมภีร์พระไตรปิฎกที่บอกว่า การกระทำที่ดีต้องมาจากจุดเริ่มต้นก่อนคือคิดดีเจตนาดี ถ้าคิดไม่ดี มีเจตนาไม่ดี การพูดและการกระทำทางกายก็ไม่ดีไปด้วยในขั้นนี้จะยังไม่แยกประเด็นว่าเป็น สังคมระดับโลกิยะหรือสังคมระดับโลกุตตระ
๒. ข้อพิจารณาประเด็นที่ต่างกัน
ความต่างกันทางด้านสถานะ ความ ต่างกันระหว่างหลักการทั้งสองน่าจะพิจารณาได้จากประเด็นต่อไปนี้ ทางสายกลาง ของอาริสโตเติลเป็นเรื่องของความรู้สึกและการกระทำของมนุษย์ที่เป็นไปเพื่อ ความอยู่รอดอย่างสันติสุข มีศักดิ์ศรีและคุณค่า จุดสำคัญที่ทำให้ทางสายกลางของอาริสโตเติลมีลักษณะเฉพาะมากขึ้น คือ ความเป็นทางเลือก ทุกคนจะต้องเลือกหาเอาเอง ในกรณีที่ไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางได้ ยังสามารถเลือกเอาข้างที่ชั่วร้ายน้อยกว่า เราอาจจะให้คำนิยามทางสายกลางของอาริสโตเติลได้อย่างหนึ่งว่า “ทางเลือกที่ถูกเลือก”
จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ความที่มันดำรงสภาวะกลางจริง ๆ เพราะต้องอยู่ห่างจากที่สุดโต่งข้างน้อยและข้างมากในระยะทางที่เท่ากัน ไม่ว่าจะวัดจากด้านใด แม้ว่าโดยตัวของมันเอง ทางสายกลางจะมีความเป็นกลางพอดีมีมาตรฐานอยู่ด้วยตัวของมันเอง แต่เมื่อเอามาสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมนุษย์ ดูคล้ายกับว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ แน่นอนไม่มีมาตรฐานตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับการพิจารณาเลือกสรรของมนุษย์ ถือเป็นการดึงกฎเกณฑ์เข้ามาหาตัวมนุษย์
ความต่างกันทางด้านระดับ ทาง สายกลางอาริสโตเติลดูเหมือนจะเป็นจริยธรรมขั้นต้นเท่านั้นเมื่อเทียบกับหลัก จริยธรรมในพระพุทธศาสนา จริยธรรมในพุทธปรัชญาแบ่งเป็น ๓ ระดับ คือ (๑) ระดับศีลธรรมของสังคม คือ ศีล ๕ (๒) ระดับศีลละเอียดของสังคมคือกุศลกรรมบถ ๑๐ (๓) ระดับไตรสิกขาคือมรรคมีองค์ ๘
สามารถพูดได้อย่างไรว่า ทางสายกลางของอาริสโตเติลเทียบเท่ากับจริยธรรมระดับศีลธรรมของสังคมในพุทธ ปรัชญา ? อาริสโตเติลสอนทางสายกลางเน้นให้มนุษย์มีชีวิตอย่างสันติสุขมีศักดิ์ศรี คุณค่าในชีวิตประจำวัน โดยมีการเร่งเร้าให้มนุษย์ต่อสู้ชีวิต ขวนขวายพยายามต่อสู้ไปจนถึงที่สุด เช่น การประกอบอาชีพของมนุษย์ อาริสโตเติลกล่าวว่าอาชีพอะไรก็ได้ที่มันทำให้ชีวิตอยู่รอดได้อย่างสันติ สุขมีศักดิ์ศรีและไม่ผิดกฎหมายของบ้านเมือง
สมมติว่า นาย ก. มีอาชีพขายของชำ เนื่องจากร้านของเขาค่อนข้างจะใหญ่ ในร้านจึงเต็มไปด้วยสินค้าหลายชนิด และในจำนวนสินค้าเหล่านั้น ก็มียาฆ่าแมลง สุรา เหล้าเบียร์ แถมที่บ่อหลังบ้านยังมีการเลี้ยงปลาดุกเป็นอาชีพเสริมอีกด้วย อาชีพแบบนี้ ถ้าไปถามอาริสโตเติลว่า “นาย ก.ปฏิบัติตามหลักทางสายกลางหรือไม่ เขาค้นพบทางสายกลางหรือจุดกึ่งกลางหรือ ไม่ ?”
อาริสโตเติลจะตอบว่า “เขาค้นพบทางสายกลางแล้วแน่นอน เพราะเขาประกอบอาชีพสุจริต” ใน กรณีเดียวกันนี้ หันไปมองทรรศนะทางพระพุทธศาสนาโดยเอาหลักมัชฌิมาปฏิปทามา เทียบ นักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาจะบอกว่า “ยังก่อน ปฏิบัติเช่นนี้ยังไม่ชื่อว่าปฏิบัติตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา อาชีพของนาย ก.นั้นเป็นอาชีพสุจิตจริง แต่ไม่ชอบธรรม” เพราะเหตุไรนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาจึงกล่าวอย่างนี้ ? นิยามความหมายขององค์มรรคข้อสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นองค์หนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ คำว่า “สัมมาอาชีวะ” หมายถึง การเลี้ยงชีพที่ถูกต้องชอบธรรม โดยงดเว้นจากาอาชีพ ๕ อย่างต่อไปนี้ คือ (๑) ค้าขายมนุษย์ (๒) ค้าขายอาวุธ (๓) เลี้ยงสัตว์เพื่อขาย/ฆ่า (๔) ค้าขายสุรา (๕) ค้าขายยาพิษ
นี่คือความต่างกันอย่างเห็นได้ชัดระหว่างทางสายกลางของอาริสโตเติลกับ มัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนา ความจริง ทางสายกลางของอาริสโตเติลอธิบายเปรียบเทียบกับหลักปุริสธรรม ๗ ได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอัตตัญญุตา ความรู้จักตน มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท
ความต่างกันในด้านเกณฑ์ตัดสิน หลัก ปุริสธรรมในพระพุทธศาสนาถือเป็นจริยศาสตร์สังคมที่เอื้ออำนวยแก่การอยู่เป็น สุขในสังคม เป็นเรื่องของความรู้จักสังคมและในขณะเดียวกันก็ปรับตัวเองให้เข้ากับสังคม ได้อย่างกลมกลืนไม่แปลกแยก เพราะการที่บุคคลจะสามารถเลือกแนวทางอันเป็นจุดกึ่งกลางพอดีสำหรับตัวเองได้ ในเบื้องต้นต้องรู้จักตัวเอง รู้จักประมาณ รู้จักชุมชน และรู้จักการเข้าหาชุมชน แต่ปัญหาก็คือ ถ้าเปรียบเทียบอย่างนี้ นักจริยศาสตร์ยุคปัจจุบันก็จะไม่เห็นด้วยอีก เพราะถือว่าทางสายกลางของอาริสโตเติลเป็นจริยศาสตร์ เมื่อจะเปรียบเทียบหลักพระพุทธศาสนาก็ควรที่จะเปรียบเทียบกับจริยศาสตร์แท้ ในพระพุทธศาสนา นั่นคือ ศีล ๕ กุศลกรรมบถ ๑๐ และอริยมรรคมีองค์ ๘ จะเปรียบเทียบกับระดับไหนนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ทางสายกลางของอาริสโตเติลไม่อาจวัดเป็นจำนวนเลขตายตัว เพราะถูกกำหนดโดย บริบทของสังคมและสภาพแวดล้อมหลากหลาย แต่อาริสโตเติลกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
ทาง สายกลางของผู้ใดต้องขึ้นอยู่กับการกำหนดของบุคคลนั้นเอง เขาเป็นผู้รู้ดีที่สุดว่าอะไรคือทางสายกลางสำหรับเขา แต่การกำหนดทางสายกลางของเขาต้องเป็นไปตามหลักเหตุผล ไม่ใช่ความรู้สึก
ข้อความนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่มีเกณฑ์มาตรฐานสำหรับวัดความเป็นทางสายกลางในทรรศนะของอาริสโตเติล ในขณะที่หลักมัชฌิมาปฏิปทาในพระพุทธศาสนามีองค์ประกอบที่กำหนดความเป็น มัชฌิมาปฏิปทาไว้แน่นอน
มัชฌิม ปฏิปทาในพระพุทธศาสนา แปลว่า ข้อปฏิบัติอันมีในท่ามกลาง วิธีการหรือทางดำเนินชีวิตที่เป็นกลางตามธรรมชาติ สอดคล้องกับกฎธรรมชาติ เป็นหลักปฏิบัติที่สอดคล้องกับธรรมซึ่งมีองค์ประกอบ ๘ อย่าง และทำให้ผู้ดำเนินตามเป็นอารยชน เป็นทางเก่าแก่ที่เคยมีผู้เดินมาก่อนแล้ว เป็นกฎเกณฑ์ที่วางไว้เป็นมาตรฐานแน่นอน ใน วิถีชีวิตมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกสรรทางสายกลางอันเหมาะสมกับตนเอง เมื่อมีการปฏิบัติชอบ(สัมมาปฏิบัติ) ย่อมถือว่าดำเนินชีวิตเป็นกลางตามธรรมชาติ และเมื่อนั้นวิถีชีวิตของมนุษย์จะไต่ระดับขึ้นไปสู่สิ่งที่ดีเรื่อย ๆ จนถึงจุดหมายสุดท้ายคือหมดกิเลส
เราย่อมสรรเสริญสัมมาปฏิปทา ไม่ว่าจะเป็นของบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ตาม คฤหัสถ์ ก็ตาม บรรพชิตก็ตามปฏิบัติชอบแล้ว เพราะการปฏิบัตินั้นเป็นเหตุ ย่อมยังญายธรรมอันเป็นกุศลให้สำเร็จได้ ก็สัมมาปฏิปทาคืออะไร คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ”
การบำเพ็ญธรรมหรือกระทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ที่ไม่ตึงเกินไปไม่หย่อนเกินไป บางคราวก็นิยมพูดว่า “เป็นการปฏิบัติทางสายกลาง” ลักษณะอย่างนี้ถูกต้องในทรรศนะของอาริสโตเติล แต่ในพระพุทธศาสนาถือว่า ไม่ถูกต้องนัก เพราะการปฏิบัติทางสายกลางตามหลักพระพุทธศาสนานั้น ถือว่าถ้ามีความมั่นใจว่าถูกต้องจริงแล้ว ยิ่งปฏิบัติด้วยการระดมความเพียรความเอาใจใส่สุดกำลังเพียงใด ยิ่งทำให้วิถีชีวิตสมบูรณ์ประเสริฐมากขึ้นเท่านั้น การปฏิบัติที่เริ่มต้น ด้วยสัมมาทิฏฐิ ย่อมไม่เฉออกนอกทาง เพราะมีองค์ประกอบที่เป็นสัมมา คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิทำหน้าที่ปรับให้เกิดความสมดุลภายในตัวบุคคลโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
อาริสโตเติลกับแนวคิดทางพระพุทธศาสนา
อาริสโตเติลเกิดเมื่อ พ.ศ.๑๕๙ ที่เมืองสตากิราในแคว้นเธรส ก่อนพระเยซูประสูติ ๓๘๔ ปี หลังการประสูติของพระสิทธัตถะโคดมพุทธเจ้า ๒๓๙ ปี เพราะฉะนั้น สามารถตั้งข้อสันนิษฐานในระดับหนึ่งว่า อาริสโตเติลไม่ได้รับอิทธิพลจากคริศต์ศาสนา แต่จะได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดเชิงศาสนาของลัทธิใดนั้นคิดว่าต้องมีแน่นอน ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งต่างหาก
ข้อมูลที่เราได้อย่างชัดเจนในตอนนี้ก็คือ อาริสโตเติลเกิดทีหลังพระพุทธเจ้า และพระพุทธศาสนาในยุคที่อาริสโตเติลเกิดนั้นอยู่ในช่วงสมัยของพระเจ้าอโศก มหาราชพอดีซึ่งถือว่าเป็นยุคทองแห่งพระพุทธศาสนาหลักพุทธปรินิพพาน พระเจ้า อโศกมหาราชเป็นกำลังสำคัญให้ความอุปถัมภ์ในการสังคายนาครั้งที่ ๓ และร่วมกับพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระส่งสมณทูตออกไปประกาศพระศาสนายังนานาอารย ประเทศ อิทธิพลของแนวความคิดทางพระพุทธศาสนาในยุคนี้จึงแพร่หลายออกไปทั่ว ทุกทิศ ในฐานะเป็นนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ อาริสโตเติลคงไม่พลาดที่จะศึกษาแนวความคิดทางพระพุทธศาสนาอย่างแน่นอน แต่ศึกษาแล้วจะรับเอาแนวความคิดนั้นมาปฏิบัติหรือมาเป็นพื้นฐานทางปรัชญาของ ตนหรือไม่ นั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ถ้าจะให้ผู้เขียนวิจารณ์ในประเด็นนี้ ผู้เขียนเองค่อนข้างจะมั่นใจว่า นักปรัชญาทุกคนเมื่อได้ศึกษาทฤษฎีใดแล้ว ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทฤษฎีนั้นผ่านเลยไปจากสมองของตัวเองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้ก็คือ นักปรัชญาจะเก็บทฤษฎีทุกอย่างที่เขาเคยมีประสบการณ์มา นักปรัชญาสำนักโยคา จารสอนเรื่อง “อาลวิญญาณ” ซึ่งเป็นที่เก็บก่อสิ่งที่มนุษย์ประสบอยู่ทุกขณะจิตในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ ประสบมาและเก็บไว้ในอาลยวิญญาณนี้ จะปรากฏตัวออกมาทางลักษณะนิสัย ความคิดการกระทำของบุคคลไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ในกรณีของอาริสโตเติลนั้น สมมติว่าได้ยินได้ฟังจากคนอื่น หรือได้ศึกษาทฤษฎีทางพระพุทธศาสนาด้วยตัวเอง แนวความคิดทฤษฎีนั้นก็จะฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจนั่นคือ “อาลยวิญญาณ” และปรากฏตัวออกมาในเมื่ออาริสโตเติลได้แสดงหลักทางสายกลาง แต่เนื่องจากอาริสโตเติลเป็นผู้หนึ่งที่มีแนวความคิดที่โดดเด่นทางด้าน ปรัชญาการเมือง เสนอรูปแบบการจัดองค์การและระเบียบที่ดีให้แก่สังคม สอนหลักจริยธรรมของปัจเจกชนในสังคม ไม่ใช่จริยธรรมของปัจเจกชนในปัจเจกภาวะ เมื่อมีโอกาสได้แสดงหลักทางสายกลาง จึงแสดงเน้นไปที่ทางสายกลางระดับโลกิยะ ซึ่งเราจะเรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทาระดับโลกิยะ” ก็ได้ นี่เป็นประเด็นหนึ่งที่ผู้เขียนได้ตั้งเป็นปัญหาไว้ให้ผู้สนใจใฝ่คิดได้ทำ การศึกษาค้นคว้าต่อไป
จุดประสงค์ในการแสดง
พระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักมัชฌิมาปฏิปทามีจุดประสงค์ ๒ ประการ คือ
๑. เพื่อปฏิเสธแนวความคิดเชิงอภิปรัชญา ๒ ขั้ว คือ
๑.๑ ขั้วยืนยันสุดโต่ง ประกอบด้วยสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) อัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีอยู่) การกเวทกาทิเอกัตตวาท (ความเชื่อว่าผู้ทำกับผู้เสวยเป็นสิ่งเดียวกัน) และการกเวทกาทินานัตตวาท (ความเห็นว่าผู้ทำกับผู้เสวยต่างสิ่งกัน)
๑.๒ ขั้วปฏิเสธสุดโต่ง ประกอบด้วยอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) นัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีอยู่) การกเวทกาทินานัตตวาท (ความเชื่อว่าผู้ทำกับผู้เสวยต่างสิ่งกัน)
๒. เพื่อปฏิเสธแนวความคิดเชิงจริยศาสตร์ ๒ ขั้ว คือ
๒.๑ กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นในกาม การปฏิบัติโดยสนองตอบความต้องการของตัวเองด้วยสิ่งน่าใคร่น่าพอใจ
๒.๒ อัตตกิลมถานุโยค การปฏิบัติเคร่ง บีบรัดตัวเองให้ลำบากเพื่อไล่ความชั่วร้ายออกไปจากตัวเอง
พระพุทธเจ้าทรงแก้ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างพวกสัสสตวาทินกับพวกอุจเฉท วาทินโดยทรงแสดงหลักมัชเฌนธรรมในรูปแบบปฏิจจสมุปบาท ให้มองโลกและปรากฏการณ์ในรูปแบบการอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้น และทรงแก้ ปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างพวกกามสุขัลลิกานุโยคกับพวกอัตตกิลมถานุโยค โดยทรงแสดงหลักมัชฌิมาปฏิปทาตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปสู่ระดับสูงสุด ผู้ปฏิบัติอาจจะเริ่มแบบใดก็ได้ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยจริตของแต่ละบุคคล ผู้มีราคจริตก็อาจจะเจริญอสุภกัมมัฏฐาน ผู้มีโมหจริตก็อาจจะเจริญอานาปานสติกัมมัฏฐาน ผู้มีโทสจริตก็อาจจะเจริญ เมตตาพรหมวิหาร เป็นต้น
อาริสโตเติลแสดงหลักทางสายกลางเพื่อจุดประสงค์อะไร ?
จริยศาสตร์อาริสโตเติลเป็นอันตวิทยา (Teleology) ซึ่งถือว่าการ เปลี่ยนแปลงของสิ่งทั้งปวงมีจุดหมายปลายทางที่แน่นอนอยู่ จุดหมายปลายทางนี้เป็นตัวกำหนดความเป็นไปของแต่ละสิ่ง (๑) จุดหมายระหว่างทาง เป็นจุดหมายเฉพาะหน้าที่มนุษย์ต้องการเพื่อผ่านไปสู่จุดหมายที่ไกลกว่านั้น (๒) จุดหมายปลายทาง เป็นจุดหมายที่เป็นจุดจบในตัวเองโดยไม่ต้องนำไปสู่จุดหมายอื่นต่อไป จุดหมายปลายทางของมนุษย์คือความดี ความดีคือความสุข การที่มนุษย์แสวงหาความดีก็เท่ากับพวกเขากำลังแสวงหาความสุขซึ่งเป็นจุดหมาย สูงสุดของชีวิต ความดีและความสุขเป็นเรื่องเดียวกันความสุขระดับสูงสุดในทรรศนะของอาริสโต เติลเป็นเรื่องความรู้สึกของวิญญาณ ไม่ใช่ของร่างกาย “ความสุขคือกิจกรรมของวิญญาณที่สอดคล้องกับคุณธรรมที่สมบูรณ์ คนที่มีความสุขคือคนที่ดำเนินชีวิตด้วยคุณธรรมที่สมบูรณ์” อาริสโตเติลจำแนกจุดหมายเป็น ๒ ประเภท คือ
พิจารณาจากรายละเอียดที่กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าจุดประสงค์ของการแสดงหลักทางสายกลางของอาริสโตเติลไม่ได้มีอะไร อื่นนอกจากเพื่อให้สังคมดำเนินไปด้วยคุณธรรมสมบูรณ์ ผู้เขียนคิดว่าอาริสโตเติลไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะแย้งแนวความคิดของสำนัก อื่นโดยตรง แต่ในฐานะที่เป็นนักปรัชญาคนหนึ่งที่โดดเด่นอยู่ในยุคนั้น อาริสโตเติลก็ต้องแสดงทฤษฎีออกมาให้นักปรัชญาอื่นได้รู้จัก และด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม ก็ต้องแสดงหลักที่จะทำให้ชีวิตในสังคมอยู่ดีมีสุข
พระพุทธเจ้าแม้จุดประสงค์ที่ทรงแสดงหลักมัชฌิมาปฏิปทาเพื่อปฏิเสธทฤษฎีสุด โต่งดังกล่าวมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์จะล้มล้าง แต่ทรงเสนอทางเลือกใหม่จากประสบการณ์ของพระองค์เอง พื้นฐานที่ทำให้ จริยศาสตร์ว่าด้วยทางสายกลางของอาริสโตเติลต่างจากหลักมัชฌิมาปฏิปทาในพระ พุทธศาสนาก็คือ แนวความคิดแบบเทวนิยมซึ่งอาริสโตเติลเรียกว่า “แบบ”(Form)และเป็นแบบบริสุทธิ์เป็นปฐมเหตุแห่งการเคลื่อนไหว แต่พระเจ้าในทรรศนะของอาริสโตเติลเป็นเพียงผู้ทำให้สรรพสิ่งเคลื่อนไหวโดย ที่ตัวเองไม่เคลื่อนไหว ไม่ได้เป็นผู้สร้างโลกเหมือนพระเจ้าในคริสตศาสนา http://www.watpaknam.org/knowledge/view.php?id=37
Cư xử
6:08 AM
thach do
Bạn hãy yêu tự do hơn tất cả và làm điều thiện ở bất cứ nơi nào có thể .
V.Beethoven
Nhà ngoại giao là người đàn ông luôn nhớ ngày sinh nhật của phụ nữ nhưng chẳng bao giờ nhớ tuổi của nàng
Robert Frost
Đạo làm quân tử có 4 điều đúng:
+Mạnh dạn khi làm điều nghĩa
+Nhũn nhặn khi nghe lời can gián
+Lo nghĩ khi nhận bổng lộc
+Và cẩn thận đối với việc sửa mình
V.Beethoven
Nhà ngoại giao là người đàn ông luôn nhớ ngày sinh nhật của phụ nữ nhưng chẳng bao giờ nhớ tuổi của nàng
Robert Frost
Đạo làm quân tử có 4 điều đúng:
+Mạnh dạn khi làm điều nghĩa
+Nhũn nhặn khi nghe lời can gián
+Lo nghĩ khi nhận bổng lộc
+Và cẩn thận đối với việc sửa mình
Đời có bốn cái lo ;
-lo đức ít mà được sùng ái nhiều.
-lo công lập được ít mà được hưởng nhiều bổng lộc ....
Khổng Tử
Đừng để một ai chẳng nhận được gì khi rời chỗ bạn cho dù bạn biết rằng không bao giờ gặp lại .
Ngạn ngữ Pháp
Danh dự là sự hòa hợp tự nhiên giữa việc tôn trọng mọi người và tự tôn trọng chính mình .
W. Shakespear
Lý trí có thể mách bảo ta điều phải tránh, còn con tim sẽ chỉ cho ta biết điều phải làm .
Joubert
Cái gì xuất phát từ trái tim sẽ đi đến trái tim
Piêt
Không có ngày mai nào lại không kết thúc, không có sự đau khổ nào lại không có lối ra .
Rsoutheell
Nếu như trí tuệ là cái vốn quí nhất và hữu ích nhất thì sự hài hước là tính dễ chịu nhất của con người
Swift
Hãy làm tròn mỗi công việc của đời mình như thể đó là công việc cuối cùng
Marc aurele
Tôi thường hối tiếc vì mình đã mở mồm chứ không bao giờ…vì mình đã im lặng
-lo đức ít mà được sùng ái nhiều.
-lo công lập được ít mà được hưởng nhiều bổng lộc ....
Khổng Tử
Đừng để một ai chẳng nhận được gì khi rời chỗ bạn cho dù bạn biết rằng không bao giờ gặp lại .
Ngạn ngữ Pháp
Danh dự là sự hòa hợp tự nhiên giữa việc tôn trọng mọi người và tự tôn trọng chính mình .
W. Shakespear
Lý trí có thể mách bảo ta điều phải tránh, còn con tim sẽ chỉ cho ta biết điều phải làm .
Joubert
Cái gì xuất phát từ trái tim sẽ đi đến trái tim
Piêt
Không có ngày mai nào lại không kết thúc, không có sự đau khổ nào lại không có lối ra .
Rsoutheell
Nếu như trí tuệ là cái vốn quí nhất và hữu ích nhất thì sự hài hước là tính dễ chịu nhất của con người
Swift
Hãy làm tròn mỗi công việc của đời mình như thể đó là công việc cuối cùng
Marc aurele
Tôi thường hối tiếc vì mình đã mở mồm chứ không bao giờ…vì mình đã im lặng
Philippe de Commynes
Cách khéo nhất để làm vừa lòng ai đó là xin họ lời khuyên
Odove Primex
Nếu có hai người cùng sống với nhau hòa thuận nên tin trong đó ít nhất một người tốt.
Ngạn ngữ Angiêri
Cuộc đời là bọt nước. Chỉ có hai điều như đá tảng: tử tế khi người khác lâm hoạn nạn và can đảm trong hoạn nạn của chính mình
A. Gordon
Đừng mua thứ hữu ích mà hãy mua thứ cần thiết
Caton Censeur
Người đáng nói mà mình không nói là mất người, Người không đáng nói mà mình nói là mất lời.
Khổng Tử
Người xin bố thí đỏ mặt một lần, kẻ từ chối không bố thí đỏ mặt hai lần
Ngạn ngữ Thổ nhĩ Kỳ
Hoài nghi chính mình là điều phải làm đầu tiên của người quân tử.
P. Nicole
Khi đã biết tha thứ, bạn sẽ mỉm cười nhiều hơn, biết cảm nhận sâu sắc và dễ thông cảm với người khác
Bishop
Đừng ném lời cho gió, nếu không hay biết gió thổi về đâu
N. Ghenin
Nếu sự khiêm nhường của bạn khiến mọi người để ý thì hẳn có chút đó chẳng bình thường.
M. Ghenin.
Người không biết tươi cười sẽ không biết cách mở ra những cánh cửa.
Ngạn Ngữ Trung Quốc
Đừng để đến ngày mai những việc gì anh có thể làm hôm nay
Lord Chesterfield
Một người chưa biết nói những lời nói dối đẹp đẽ thi người đó không bao giờ biết đến thế giới chân thực.
Cách khéo nhất để làm vừa lòng ai đó là xin họ lời khuyên
Odove Primex
Nếu có hai người cùng sống với nhau hòa thuận nên tin trong đó ít nhất một người tốt.
Ngạn ngữ Angiêri
Cuộc đời là bọt nước. Chỉ có hai điều như đá tảng: tử tế khi người khác lâm hoạn nạn và can đảm trong hoạn nạn của chính mình
A. Gordon
Đừng mua thứ hữu ích mà hãy mua thứ cần thiết
Caton Censeur
Người đáng nói mà mình không nói là mất người, Người không đáng nói mà mình nói là mất lời.
Khổng Tử
Người xin bố thí đỏ mặt một lần, kẻ từ chối không bố thí đỏ mặt hai lần
Ngạn ngữ Thổ nhĩ Kỳ
Hoài nghi chính mình là điều phải làm đầu tiên của người quân tử.
P. Nicole
Khi đã biết tha thứ, bạn sẽ mỉm cười nhiều hơn, biết cảm nhận sâu sắc và dễ thông cảm với người khác
Bishop
Đừng ném lời cho gió, nếu không hay biết gió thổi về đâu
N. Ghenin
Nếu sự khiêm nhường của bạn khiến mọi người để ý thì hẳn có chút đó chẳng bình thường.
M. Ghenin.
Người không biết tươi cười sẽ không biết cách mở ra những cánh cửa.
Ngạn Ngữ Trung Quốc
Đừng để đến ngày mai những việc gì anh có thể làm hôm nay
Lord Chesterfield
Một người chưa biết nói những lời nói dối đẹp đẽ thi người đó không bao giờ biết đến thế giới chân thực.
A. France.
Cho quí hơn nhận song cái giếng sâu nhất cũng cạn nếu không được uống nước đó sao?
H.A. Kromer
Đừng bao giờ đóng sầm cửa lại; có thể bạn muốn quay trở lại vào đấy
Nếu đó là một công việc quan trọng – hãy tự mình làm lấy
Nếu bạn không thể là mặt trời thì hãy đừng là đám mây
Thế giới sẽ tốt đẹp hơn nếu ta dành cho người khác dù chỉ một chút thông cảm mà ta vẫn thường dành cho ta
Đừng cố gắng tỏ ra cái không phải là mình
Lúc đầu chúng ta tạo ra thói quen, sau đó thói quen tạo ra chúng ta
Nếu có ai đó đáng để ta làm quen thì cũng đáng để ta hiểu rõ
Đối với người có nhiều tài đức thì đừng có chê bai nhỏ mọn
Đối với người có danh dự thì chớ chỉ trích những lỗi lầm
Hoài Nam Tử
Tôi chưa bao giờ gặp một người nào mà tôi không tìm thấy nơi họ một cái gì đáng cho tôi học hỏi
Afred de Vigny
Người có một tinh thần sâu sắc cần phải tự đào tạo một cái học để khám phá những tế nhị của lòng người
Vauvenargues
Bạn nên ghi nằm lòng rằng tất cả trẻ con dù ở độ tuổi nào cũng vậy, đều bịt tai trước những lời ta khuyên răn dạy bảo, chúng sẽ mở mắt thật to nếu người ta làm gương cho chúng thấy
The Table
Cử chỉ đẹp là đức hạnh được dịch ra một thứ ngôn ngữ dễ hiểu
Cho quí hơn nhận song cái giếng sâu nhất cũng cạn nếu không được uống nước đó sao?
H.A. Kromer
Đừng bao giờ đóng sầm cửa lại; có thể bạn muốn quay trở lại vào đấy
Nếu đó là một công việc quan trọng – hãy tự mình làm lấy
Nếu bạn không thể là mặt trời thì hãy đừng là đám mây
Thế giới sẽ tốt đẹp hơn nếu ta dành cho người khác dù chỉ một chút thông cảm mà ta vẫn thường dành cho ta
Đừng cố gắng tỏ ra cái không phải là mình
Lúc đầu chúng ta tạo ra thói quen, sau đó thói quen tạo ra chúng ta
Nếu có ai đó đáng để ta làm quen thì cũng đáng để ta hiểu rõ
Đối với người có nhiều tài đức thì đừng có chê bai nhỏ mọn
Đối với người có danh dự thì chớ chỉ trích những lỗi lầm
Hoài Nam Tử
Tôi chưa bao giờ gặp một người nào mà tôi không tìm thấy nơi họ một cái gì đáng cho tôi học hỏi
Afred de Vigny
Người có một tinh thần sâu sắc cần phải tự đào tạo một cái học để khám phá những tế nhị của lòng người
Vauvenargues
Bạn nên ghi nằm lòng rằng tất cả trẻ con dù ở độ tuổi nào cũng vậy, đều bịt tai trước những lời ta khuyên răn dạy bảo, chúng sẽ mở mắt thật to nếu người ta làm gương cho chúng thấy
The Table
Cử chỉ đẹp là đức hạnh được dịch ra một thứ ngôn ngữ dễ hiểu
Francis Bacon
Khi con trai bạn còn nhỏ, bạn hãy làm ông chủ của nó. Nhưng khi nó lớn lên rồi, bạn hãy làm người anh của nó
Ngạn ngữ Arập
Những gì ta cho đi một cách thật lòng thì mãi mãi là của ta
Geoges Granville
Thiếu thận trọng gây nhiều tai hại hơn thiếu hiểu biết
Franklin
Khi con trai bạn còn nhỏ, bạn hãy làm ông chủ của nó. Nhưng khi nó lớn lên rồi, bạn hãy làm người anh của nó
Ngạn ngữ Arập
Những gì ta cho đi một cách thật lòng thì mãi mãi là của ta
Geoges Granville
Thiếu thận trọng gây nhiều tai hại hơn thiếu hiểu biết
Franklin
Hãy suy nghĩ tất cả những gì bạn nói nhưng đừng nói tất cả những gì bạn nghĩ
Delarme
Hãy kiên nhẫn làm bổn phận của mình và giữ thinh lặng, đó là câu trả lời tốt nhất cho sự vu khống
G. Washington
Con ong được ca tụng vì nó làm việc không phải cho chính mình nhưng cho tất cả
Saint J.Chrysistome
Bàn tay tặng đóa hồng bao giờ cũng còn phảng phất mùi thơm
KD
Đừng bao giờ khiêm tốn với kẻ kiêu căng, cũng đừng bao giờ kiêu căng với người khiêm tốn
Jeffecson
Sự ngắn gọn là linh hồn của trí khốn sắc sảo
Shakespear
Không nên đánh giá một người dựa vào những cái anh ta không biết mà nên dựa vào những cái anh ta hiểu biết
Vauvenargues
Đầu hàng cám rỗ là hành động của thú tính, chiến thắng nó mới là con người
Waterstone
Hãy hiền dịu khoan dung với hết mọi người trừ bản thân mình
Joubert
Nếu ai nói xấu bạn mà nói đúng thì hãy sửa mình đi. Nếu họ nói bậy thì bạn hãy cười thôi
Epictete
Khi ta tự trách mình thì dường như không ai có quyền trách ta
Kẻ bắt chước cái xấu luôn vượt xa cái gương xấu ấy. Trái lại, kẻ bắt chước cái tốt luôn thua kém cái gương ấy
Guicciardini
Ai không biết nghe, tất không biết nói chuyện
Giarardin
Mỗi khi khuyên ai bất cứ điều gì thì nên thật vắn tắt
Horace
Anh có thể lừa vài người trong mọi lúc, anh cũng có thể lừa mọi người trong vài lúc, nhưng anh không thể lừa mọi người trong mọi lúc
A.Lincoln
Phải biết mở cửa lòng mình trước mới hy vọng mở được lòng người khác
Pasquier Quesnel
Điều gì anh muốn người ta làm cho anh, anh hãy làm cho người ta
Kinh Thánh
Đừng nói tất cả những gì mình biết
Đừng tin tất cả những mình nghe
Đừng làm tất cả những gì mình có thể làm
Ngạn ngữ Bồ Đào Nha
Trao cho ai đó cả con tim mình không bao giờ là một sự đảm bảo rằng họ cũng yêu bạn, đừng chờ đợi điều ngược lại. Hãy để tình yêu lớn dần trong tim họ, nhưng nếu điều đó không xảy ra thì hãy hài lòng vì ít ra nó cũng đã lớn lên trong bạn.
Có một vài thứ mà bạn rất thích nghe nhưng sẽ không bao giờ được nghe từ người mà bạn muốn nghe, nhưng nếu có cơ hội, hãy lắng nghe chúng từ người nói với bạn bằng cả trái tim.
Ðừng bao giờ nói tạm biệt khi bạn vẫn còn muốn thử. Ðừng bỏ cuộc khi bạn cảm thấy vẫn còn có thể đạt được. Ðừng nói bạn không yêu ai đó nữa khi bạn không thể rời xa họ. Tình yêu sẽ đến với những người luôn hy vọng dù họ đã từng thất vong.
Ðừng chạy theo vẻ bề ngoài hào nhoáng, nó có thể phai nhạt theo thời gian. Ðừng chạy theo tiền bạc, một ngày kia nó cũng sẽ mất đi. Hãy chạy theo người nào đó có thể làm bạn luôn mỉm cười bởi vì chỉ có nụ cười là tồn tại mãi. Hy vọng rằng bạn sẽ tìm ra người đó.
Ðôi khi trong cuộc sống, có lúc bạn cảm thấy bạn nhớ ai đó đến nỗi muốn chạy đến và ôm chầm lấy họ. Mong rằng bạn sẽ luôn mơ thấy họ. Hãy mơ những gì bạn muốn, đi đến nơi nào mà bạn thích, hãy là những gì bạn thích vì bạn chỉ có một cuộc sống và một cơ hội để làm tất cả trong cuộc đời. Mong rằng bạn luôn có đủ hạnh phúc để vui vẻ, đủ thử thách để mạnh mẽ hơn, đủ nỗi buồn để bạn trưởng thành hơn và đủ tiền để mua quà cho bạn bè.
Hãy luôn đặt mình vào vị trí người khác, nếu điều đó làm tổn thương bạn thì nó cũng sẽ tổn thương người khác. Một lời nói vô ý là một xung đột hiểm họa, một lời nói nóng giận có thể làm hỏng cả một cuộc đời, một lời nói đúng lúc có thể làm giảm căng thẳng, còn lời nói yêu thương có thể chữa lành vết thương và mang đến sự bình yên.
Đôi khi phải nhượng bộ mà thừa nhận rằng củ cải là củ lê
Delarme
Hãy kiên nhẫn làm bổn phận của mình và giữ thinh lặng, đó là câu trả lời tốt nhất cho sự vu khống
G. Washington
Con ong được ca tụng vì nó làm việc không phải cho chính mình nhưng cho tất cả
Saint J.Chrysistome
Bàn tay tặng đóa hồng bao giờ cũng còn phảng phất mùi thơm
KD
Đừng bao giờ khiêm tốn với kẻ kiêu căng, cũng đừng bao giờ kiêu căng với người khiêm tốn
Jeffecson
Sự ngắn gọn là linh hồn của trí khốn sắc sảo
Shakespear
Không nên đánh giá một người dựa vào những cái anh ta không biết mà nên dựa vào những cái anh ta hiểu biết
Vauvenargues
Đầu hàng cám rỗ là hành động của thú tính, chiến thắng nó mới là con người
Waterstone
Hãy hiền dịu khoan dung với hết mọi người trừ bản thân mình
Joubert
Nếu ai nói xấu bạn mà nói đúng thì hãy sửa mình đi. Nếu họ nói bậy thì bạn hãy cười thôi
Epictete
Khi ta tự trách mình thì dường như không ai có quyền trách ta
Kẻ bắt chước cái xấu luôn vượt xa cái gương xấu ấy. Trái lại, kẻ bắt chước cái tốt luôn thua kém cái gương ấy
Guicciardini
Ai không biết nghe, tất không biết nói chuyện
Giarardin
Mỗi khi khuyên ai bất cứ điều gì thì nên thật vắn tắt
Horace
Anh có thể lừa vài người trong mọi lúc, anh cũng có thể lừa mọi người trong vài lúc, nhưng anh không thể lừa mọi người trong mọi lúc
A.Lincoln
Phải biết mở cửa lòng mình trước mới hy vọng mở được lòng người khác
Pasquier Quesnel
Điều gì anh muốn người ta làm cho anh, anh hãy làm cho người ta
Kinh Thánh
Đừng nói tất cả những gì mình biết
Đừng tin tất cả những mình nghe
Đừng làm tất cả những gì mình có thể làm
Ngạn ngữ Bồ Đào Nha
Trao cho ai đó cả con tim mình không bao giờ là một sự đảm bảo rằng họ cũng yêu bạn, đừng chờ đợi điều ngược lại. Hãy để tình yêu lớn dần trong tim họ, nhưng nếu điều đó không xảy ra thì hãy hài lòng vì ít ra nó cũng đã lớn lên trong bạn.
Có một vài thứ mà bạn rất thích nghe nhưng sẽ không bao giờ được nghe từ người mà bạn muốn nghe, nhưng nếu có cơ hội, hãy lắng nghe chúng từ người nói với bạn bằng cả trái tim.
Ðừng bao giờ nói tạm biệt khi bạn vẫn còn muốn thử. Ðừng bỏ cuộc khi bạn cảm thấy vẫn còn có thể đạt được. Ðừng nói bạn không yêu ai đó nữa khi bạn không thể rời xa họ. Tình yêu sẽ đến với những người luôn hy vọng dù họ đã từng thất vong.
Ðừng chạy theo vẻ bề ngoài hào nhoáng, nó có thể phai nhạt theo thời gian. Ðừng chạy theo tiền bạc, một ngày kia nó cũng sẽ mất đi. Hãy chạy theo người nào đó có thể làm bạn luôn mỉm cười bởi vì chỉ có nụ cười là tồn tại mãi. Hy vọng rằng bạn sẽ tìm ra người đó.
Ðôi khi trong cuộc sống, có lúc bạn cảm thấy bạn nhớ ai đó đến nỗi muốn chạy đến và ôm chầm lấy họ. Mong rằng bạn sẽ luôn mơ thấy họ. Hãy mơ những gì bạn muốn, đi đến nơi nào mà bạn thích, hãy là những gì bạn thích vì bạn chỉ có một cuộc sống và một cơ hội để làm tất cả trong cuộc đời. Mong rằng bạn luôn có đủ hạnh phúc để vui vẻ, đủ thử thách để mạnh mẽ hơn, đủ nỗi buồn để bạn trưởng thành hơn và đủ tiền để mua quà cho bạn bè.
Hãy luôn đặt mình vào vị trí người khác, nếu điều đó làm tổn thương bạn thì nó cũng sẽ tổn thương người khác. Một lời nói vô ý là một xung đột hiểm họa, một lời nói nóng giận có thể làm hỏng cả một cuộc đời, một lời nói đúng lúc có thể làm giảm căng thẳng, còn lời nói yêu thương có thể chữa lành vết thương và mang đến sự bình yên.
Đôi khi phải nhượng bộ mà thừa nhận rằng củ cải là củ lê
Ngạn ngữ Đức
Muốn uốn cây cong cho thẳng lại, ta uốn cong nó theo chiều ngược lại
Montaigne
Không có gì nguy hiểm bằng lời khuyên tốt đi kèm với gương xấu
De Scudery
Khuyên răn thay cho giận dữ, mỉm cười thay cho khinh bỉ
Epiquya
Bao giờ cũng nên có nhiều trí tuệ hơn lòng tự ái
Epiquya
Không bao giờ làm phiền người khác về những việc mình có thể làm được
Jeffecson
Yêu mọi người, tin vài người và đừng xúc phạm đến ai
Shakespear
Những người mạnh không dùng lời lẽ lăng mạ. Họ mỉm cười.
L.Leonop
Ngoại giao là khoa học của sự nhượng bộ
A.Musset
Một trong những ưu điểm lớn nhất của diễn giả là chẳng những nói những điều cần nói mà còn biết không nói những gì không cần thiết
Cicero
Nghệ thuật sống với nhau chính là nghệ thuật giữ khoảng cách
O. Wide
Phép lịch sự là quy tắc chi phối các mối quan hệ, đó là nghệ thuật của lòng vị tha
Erasme
Ai vâng lời liều, hứa liều, tất nhiên khó lòng đúng hẹn
Lão Tử
Hãy cho đi cái mà bạn có. Đối với ai đó, thì món quà ấy mang một ý nghĩa mà bạn không ngờ
Ai có thể cãi được một lời chế nhạo
W.Paley
Muốn uốn cây cong cho thẳng lại, ta uốn cong nó theo chiều ngược lại
Montaigne
Không có gì nguy hiểm bằng lời khuyên tốt đi kèm với gương xấu
De Scudery
Khuyên răn thay cho giận dữ, mỉm cười thay cho khinh bỉ
Epiquya
Bao giờ cũng nên có nhiều trí tuệ hơn lòng tự ái
Epiquya
Không bao giờ làm phiền người khác về những việc mình có thể làm được
Jeffecson
Yêu mọi người, tin vài người và đừng xúc phạm đến ai
Shakespear
Những người mạnh không dùng lời lẽ lăng mạ. Họ mỉm cười.
L.Leonop
Ngoại giao là khoa học của sự nhượng bộ
A.Musset
Một trong những ưu điểm lớn nhất của diễn giả là chẳng những nói những điều cần nói mà còn biết không nói những gì không cần thiết
Cicero
Nghệ thuật sống với nhau chính là nghệ thuật giữ khoảng cách
O. Wide
Phép lịch sự là quy tắc chi phối các mối quan hệ, đó là nghệ thuật của lòng vị tha
Erasme
Ai vâng lời liều, hứa liều, tất nhiên khó lòng đúng hẹn
Lão Tử
Hãy cho đi cái mà bạn có. Đối với ai đó, thì món quà ấy mang một ý nghĩa mà bạn không ngờ
Ai có thể cãi được một lời chế nhạo
W.Paley
Bạn bè tốt thanh toán tiền của họ một cách nhanh chóng
Tục ngữ Trung Quốc
Câu trả lời gọn nhất là hành động
Goethe
Đi vòng mà đến đích còn hơn đi thẳng mà ngã đau
Tục ngữ Anh
Đừng bao giờ bắt buộc người khác làm những gì mà họ không muốn
Tục ngữ Anh
Đừng bao giờ ném bùn vào người khác. Bạn có thể ném trật và tay bạn chắc chắn bị bẩn
Joseph Parker
Đôi tai là lối vào của trái tim
Voltaire
Hãy vội nghe và chậm trả lời
Ben Sira
Hãy nói nếu bạn có những lời lẽ mạnh hơn, nếu không, hãy im lặng
Euripide
Làm chuyện gì mà có điều chưa thỏa mãn thì hãy tự xét lại thân mình xem làm như thế đã phải chưa
Mạnh Tử
Làm người nên tự lập lấy thân, tự trọng, không nên giẫm lên gót người khác, nói theo miệng người
Lục Cửu Uyên
Lời nói khéo còn hơn cả hùng biện
Bacon
Một lời xin lỗi vụng về vẫn tốt hơn im lặng
Stephen Gosson
Người đọc biết nhiều nhưng người quan sát còn biết nhiều hơn
A. Dumas con
Ở nhiều người, lời nói đi trước tư tưởng. Họ chỉ biết những gì họ suy nghĩ sau khi đã nghe những gì mình nói
Gustave Lebon
Phải lựa thứ quần áo thích nghi với nhân cách, đừng để nhân cách mình phải chịu mang tính cách của quần áo
E. Weeler
Phải biết chăm chú lắng nghe và khuyến khích người khác nói về họ
D. Canergie
Phải kính trọng con người! Đừng thương hại nó
M.Gorki
Tôi không biết chìa khóa của thành công là gì, nhưng tôi biết chìa khóa của thất bại là cố gắng làm vừa lòng mọi người
Bill Cosby
Điều oái oăm là, nếu bạn không muốn liều mất cái gì thì bạn còn mất nhiều hơn
Erica Jong
Không một người nào đã từng cười hết mình và cười xả láng lại đồng thời là người xấu xa.
Thomas Carlyle
Nếu bạn tức giận thì hãy đếm 10 trước khi nói, còn nếu bạn nổi cơn thịnh nộ thì hãy đếm đến 100
Jeffecson
Thói quen làm những gì tốt đẹp nhất trần thế trở nên tầm thường.
Bade Rvew
Sự quá thân mật và sỗ sàng đều làm phai nhạt tình yêu hơn là tình bạn.
Rôchepede
Người ta thường khen chỉ để được khen
Từ chối lời khen là muốn được khen gấp hai
La Rochefoucould
Khi bạn không thể thực hiện những gì ao ước, bạn nên ao ước những gì có thể làm
Terence
Không ai tán thưởng một cây đang trổ hoa
Harold Philips
Hãy tin một nửa những gì anh thấy tận mắt và đừng tin những gì anh nghe được
D. Crai
Đừng bao giờ khuyên răn ai giữa đám đông
Tục ngữ A rập
Để hiểu nhau, tôi thích anh hoài nghi tôi để rồi có ngày tin cho chắc chắn. Tôi không thích anh vội tin tôi để đi đến hoài nghi
M.Gorki
Không nên nói tất cả những gì bạn biết, nhưng bao giờ cũng phải biết những gì mà bạn nói
M. Claudius
Kẻ nào gian dối trong việc nhỏ thì sẽ gian dối trong việc lớn
Kinh thánh
Đừng đọc gì anh không muốn nhớ và đừng nhớ gì anh không định dùng
G. Blecki
Lời nói nào bạn kiềm chế được là nô lệ của bạn, lời nói nào buột miệng thốt ra là kẻ sai khiến bạn
S. Gaphit
Có 3 điều khó khăn nhất, đó là giữ được một điều bí mật, quên đi một sự xúc phạm và biết dùng thời gian rỗi một cách có ích
Xilô
Mình thế nào mà không dám tỏ ra như thế là mình khinh mình
Mat-xi-lông
Kẻ nào không biết giữ cái nhỏ sẽ mất cái lớn
Mênanđơ
Tướng giỏi sau khi thắng trận không cần ai khen và cũng không cần ai biết đến công lao
Tôn tử
Dùng người như dùng gỗ, đừng vì một vài chỗ mục mà bỏ cả cây lớn
Khổng Tử
Đừng hoãn lại một việc gì về sau, bởi vì về sau bạn cũng không gặp dễ dàng hơn
Jăngpon
Không hứa bậy nên mình không phụ ai
Không tin bừa nên không ai phụ mình
Ngô Hoài Dã
Tục ngữ Trung Quốc
Câu trả lời gọn nhất là hành động
Goethe
Đi vòng mà đến đích còn hơn đi thẳng mà ngã đau
Tục ngữ Anh
Đừng bao giờ bắt buộc người khác làm những gì mà họ không muốn
Tục ngữ Anh
Đừng bao giờ ném bùn vào người khác. Bạn có thể ném trật và tay bạn chắc chắn bị bẩn
Joseph Parker
Đôi tai là lối vào của trái tim
Voltaire
Hãy vội nghe và chậm trả lời
Ben Sira
Hãy nói nếu bạn có những lời lẽ mạnh hơn, nếu không, hãy im lặng
Euripide
Làm chuyện gì mà có điều chưa thỏa mãn thì hãy tự xét lại thân mình xem làm như thế đã phải chưa
Mạnh Tử
Làm người nên tự lập lấy thân, tự trọng, không nên giẫm lên gót người khác, nói theo miệng người
Lục Cửu Uyên
Lời nói khéo còn hơn cả hùng biện
Bacon
Một lời xin lỗi vụng về vẫn tốt hơn im lặng
Stephen Gosson
Người đọc biết nhiều nhưng người quan sát còn biết nhiều hơn
A. Dumas con
Ở nhiều người, lời nói đi trước tư tưởng. Họ chỉ biết những gì họ suy nghĩ sau khi đã nghe những gì mình nói
Gustave Lebon
Phải lựa thứ quần áo thích nghi với nhân cách, đừng để nhân cách mình phải chịu mang tính cách của quần áo
E. Weeler
Phải biết chăm chú lắng nghe và khuyến khích người khác nói về họ
D. Canergie
Phải kính trọng con người! Đừng thương hại nó
M.Gorki
Tôi không biết chìa khóa của thành công là gì, nhưng tôi biết chìa khóa của thất bại là cố gắng làm vừa lòng mọi người
Bill Cosby
Điều oái oăm là, nếu bạn không muốn liều mất cái gì thì bạn còn mất nhiều hơn
Erica Jong
Không một người nào đã từng cười hết mình và cười xả láng lại đồng thời là người xấu xa.
Thomas Carlyle
Nếu bạn tức giận thì hãy đếm 10 trước khi nói, còn nếu bạn nổi cơn thịnh nộ thì hãy đếm đến 100
Jeffecson
Thói quen làm những gì tốt đẹp nhất trần thế trở nên tầm thường.
Bade Rvew
Sự quá thân mật và sỗ sàng đều làm phai nhạt tình yêu hơn là tình bạn.
Rôchepede
Người ta thường khen chỉ để được khen
Từ chối lời khen là muốn được khen gấp hai
La Rochefoucould
Khi bạn không thể thực hiện những gì ao ước, bạn nên ao ước những gì có thể làm
Terence
Không ai tán thưởng một cây đang trổ hoa
Harold Philips
Hãy tin một nửa những gì anh thấy tận mắt và đừng tin những gì anh nghe được
D. Crai
Đừng bao giờ khuyên răn ai giữa đám đông
Tục ngữ A rập
Để hiểu nhau, tôi thích anh hoài nghi tôi để rồi có ngày tin cho chắc chắn. Tôi không thích anh vội tin tôi để đi đến hoài nghi
M.Gorki
Không nên nói tất cả những gì bạn biết, nhưng bao giờ cũng phải biết những gì mà bạn nói
M. Claudius
Kẻ nào gian dối trong việc nhỏ thì sẽ gian dối trong việc lớn
Kinh thánh
Đừng đọc gì anh không muốn nhớ và đừng nhớ gì anh không định dùng
G. Blecki
Lời nói nào bạn kiềm chế được là nô lệ của bạn, lời nói nào buột miệng thốt ra là kẻ sai khiến bạn
S. Gaphit
Có 3 điều khó khăn nhất, đó là giữ được một điều bí mật, quên đi một sự xúc phạm và biết dùng thời gian rỗi một cách có ích
Xilô
Mình thế nào mà không dám tỏ ra như thế là mình khinh mình
Mat-xi-lông
Kẻ nào không biết giữ cái nhỏ sẽ mất cái lớn
Mênanđơ
Tướng giỏi sau khi thắng trận không cần ai khen và cũng không cần ai biết đến công lao
Tôn tử
Dùng người như dùng gỗ, đừng vì một vài chỗ mục mà bỏ cả cây lớn
Khổng Tử
Đừng hoãn lại một việc gì về sau, bởi vì về sau bạn cũng không gặp dễ dàng hơn
Jăngpon
Không hứa bậy nên mình không phụ ai
Không tin bừa nên không ai phụ mình
Ngô Hoài Dã
Nếu một người lừa tôi lần đầu, thì sự xấu hổ thuộc về anh ta, nếu lần thứ hai thì cái ô nhục thuộc về tôi
John Gray
Muốn điều khiển phải biết người
Muốn biết người phải hiểu mình trước đã
Đitơcuppơ
Anh cho những gì anh có là cho rất ít, nhưng khi anh phải hi sinh anh mới cho một cách thực sự
Gibran
Cho mượn ít, tạo ra một con nợ
Cho mượn nhiều, tạo ra một kẻ thù
La Bruyere
Hỏi một câu, chỉ dốt nát trong chốc lát. Không dám hỏi sẽ dốt nát suốt đời
DN phương Tây
Nên tập thói quen tìm sự thật trong các việc nhỏ nếu không sẽ bị lừa trong các việc lớn
Vontaire
John Gray
Muốn điều khiển phải biết người
Muốn biết người phải hiểu mình trước đã
Đitơcuppơ
Anh cho những gì anh có là cho rất ít, nhưng khi anh phải hi sinh anh mới cho một cách thực sự
Gibran
Cho mượn ít, tạo ra một con nợ
Cho mượn nhiều, tạo ra một kẻ thù
La Bruyere
Hỏi một câu, chỉ dốt nát trong chốc lát. Không dám hỏi sẽ dốt nát suốt đời
DN phương Tây
Nên tập thói quen tìm sự thật trong các việc nhỏ nếu không sẽ bị lừa trong các việc lớn
Vontaire